
เหตุผลหลักเลยที่ทำให้ผมดู King Arthur ก็เพราะอยากจะรู้ว่า “มันจะเป็นแบบที่ผมคิดไหม?”ครั้นพอได้ดูแล้ว ก็พบว่าเป็นแบบที่คิดจริงๆ ครับ
ผมว่าหนังโอเคในแบบของมันนะครับ ดูสนุกได้เรื่อยๆ มีกลิ่นความกวนสไตล์ผู้กำกับ Guy Ritchie บางช่วงนี่อารมณ์ยังกะดู Snatch แน่ะ (โดยเฉพาะฉากล้อมวงคุยกัน อะไรจะกวนได้กวนดีขนาดนั้น 555)
แต่น่าเสียดายครับที่ตอนออกฉายหน้าหนังมันไม่ค่อยดึงดูด หนังเลยล่มอย่างแรง ลงทุนไป $175 ล้าน ได้คืนมาจากทั่วโลกแค่ $149 ล้าน ขาดทุนชัดเจนจนหมดโอกาสที่จะมีภาคต่อ และถ้าถามว่ามันสนุกมากๆ ไหม ก็อาจไม่ถึงขนาดนั้นครับ แต่มันก็เป็นหนังที่อยู่ในข่ายว่าดีครับ หลายอย่างมีคุณภาพคุ้มค่าแก่การรับชม แต่อีกหลายอย่างก็ไม่สุด
ดังนั้นที่ผมบอกว่าดูสนุกเนี่ย ก็ใช่ว่าทุกคนจะสนุกสำหรับทุกคนนะครับ ในเบื้องต้นถ้าคุณถูกเส้นกับสไตล์ของ Ritchie ล่ะก็ ผมว่าเรื่องนี้น่าจะทำให้ท่านสนุกและสะใจไปกับการเอาตำนานอาร์เธอร์มายำแบบแนวๆ แบบนี้
พล็อตเรื่องก็ว่าด้วยอาร์เธอร์ (Charlie Hunnam) กับการขึ้นสู่บัลลังก์คาเมล็อต โดยเขาต้องปะทะกับ วอร์ติเกิร์น (Jude Law) ทรราชย์ที่ทำลายครอบครัวของเขาก่อนยึดอาณาจักรไปปกครองด้วยความโหดร้าย (มันก็ลงสูตรน่ะนะครับ)
ระหว่างดูนั้นผมมีความรู้สึกเหมือนตอนดู The Man from U.N.C.L.E. น่ะครับ คือทั้งเรื่องนี้และเรื่องนั้นเป็นหนังที่ทำออกมาได้เข้าท่า มีดีในตัวเอง แต่อาจจะขาดลูกเล่นบางอย่างที่จะดันให้ตัวเองดูเด่นขึ้นมา และในกรณีของ King Arthur นี่ยังมีอีกหนึ่งปัญหาใหญ่คือความไม่กลมกล่อม (ใน U.N.C.L.E. ผมยังว่ากลมกล่อมนะ)
ปัญหาคือ หนังพยายามผสมกันระหว่างหนังย้อนยุค+แฟนตาซี+ชิงบัลลังก์ แล้วก็เหยาะเอาความกวนแบบยุคใหม่ลงไป ซึ่งจะว่าใหม่ก็พอได้อยู่ล่ะครับ (แม้จะไม่ได้ใหม่ขนาดนั้นก็เถอะ) แต่ผลที่ได้มันยังไม่กลมกล่อมเต็มที่ อารมณ์ย้อนยุคกับอารมณ์ขันสไตล์กวนๆ ยังเข้ากันได้แบบไม่เต็มร้อย
ดังนั้นการพยายามจะทำให้หนังดูใหม่ด้วยอารมณ์กวนๆ + อารมณ์ยุคใหม่ มันเลยเหมือนดาบสองคมนะ คือมันก็ดูใหม่ในระดับหนึ่ง และอาจจะโดนใจคนกลุ่มหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันมันก็ไม่เป็นเนื้อเดียวกับความเป็นหนังอัศวินย้อนยุค ซึ่งมันก็กลายเป็นการลดทอนเสน่ห์ที่หนังย้อนยุคพึงมีไป
ขณะเดียวกันหากใครคาดหวังแอ็กชันหรือแฟนตาซี CG เยอะๆ ล่ะก็ ขอให้เผื่อใจไว้ก่อนนะครับ คือตัวอย่างน่ะพยายามตัดให้มันเป็นแอ็กชันมันส์ๆ CG หนักๆ แต่ความจริงมันไม่ใช่แบบนั้นครับ (จริงๆ คือฉากแฟนตาซีก็มีเท่าที่เห็นในตัวอย่างนั่นแหละ)
ดูแล้วก็แอบเสียดายหน่อยๆ ครับ จริงๆ แนวคิดไม่เลวในการผสมผสานหลายๆ อย่างลงในหนังแนวอัศวิน แต่หากมีการเน้นโครงสร้างหนังอัศวินให้แน่นพอ เน้นบทให้แน่นพอ แล้วเติมแฟนตาซีกับความกวนลงไปเป็นองค์ประกอบ มันอาจจะออกมาลงตัวกว่านี้ก็ได้
เหมือน Sherlock Holmes น่ะครับ Ritchie แกทำออกมาโดยมีแก่นของ Holmes ดั้งเดิมเป็นโครงหลัก แล้วก็ค่อยผสมความกวน ความพังค์ ความร็อคลงไป ผลที่ได้เลยเป็น Holmes ย้อนยุคที่มีความโมเดิร์นเป็นชูรส และออกมาน่าพอใจ ชนิดที่เรียกได้ว่า “แก่นก็อร่อย โรยหน้าก็เข้ากัน”
เอาเป็นว่าหากอยากลองลิ้มก็ลองได้ครับผม จริงๆ หนังไม่ได้แย่แต่อย่างใด หลายๆ จุดทำออกมาได้ดีด้วย และอีกอย่างที่ชอบคือดนตรีครับ Daniel Pemberton บรรเลงได้สาแก่ใจมาก (เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของหนังเลยครับ) เพียงแต่หากว่ากันโดยรวมๆ แล้ว หลายอย่างยังกลมกล่อมไม่เต็มที่ครับ
ปล. ตอนนี้ภาวนาให้ Ritchie แกมาทำ Holmes 3 ต่อ ก็ไม่รู้จะยังไงครับ รอลุ้นอยู่
สองดาวกว่าครับ

(6.5/10)
หมวดหมู่:Action, Adventure, Fantasy, History, Movie Reviews










