Action

Patriots Day (2016) วินาศกรรมปิดเมือง

16113928_1496261947071268_1723703270070850452_n

Mark Wahlberg เป็นนักแสดงที่ผมทึ่งแกเหมือนกันนะครับ ภาพแรกๆ ที่ผมจดจำแกได้คือในฐานะนายแบบกางเกงใน Calvin Kline (ยุคนั้นนิตยสารบันเทิงต่างประเทศของบ้านเรานำภาพพี่แกมาลงบ่อยๆ) ตามด้วยการเป็นแร็ปเปอร์ แล้วก็เล่นหนังในบทวัยรุ่นอีกหลายเรื่อง 

ถ้าถามว่าแกมีบทที่ดังแบบเปรี้ยงๆ ไหม ก็อาจไม่ถึงขนาดนั้นครับ แต่แกสร้างชื่อแบบเก็บเล็กผสมน้อย เริ่มจาก Fear ต่อด้วย Boogie Nights, The Big Hit แล้วก็เริ่มเป็นที่จดจำมากขึ้นตอนประกบกับ George Clooney 2 เรื่องติด (Three Kings และ The Perfect Storm)

ผลงานพี่แกมาเรื่อยๆ ครับ รู้ตัวอีกทีในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี่พี่แกมีหนังเล่นประมาณ 2 เรื่องต่อปี แล้วมีทุกแนวครับทั้งฮา, แอ็กชัน, ระทึกขวัญ, ชีวิต, ไซไฟ ที่สำคัญคือพี่แกเล่นได้ดีทุกเรื่อง จนหลังๆ นี่ผมกลายเป็นแฟนประจำคอยตามดูหนังที่พี่เขาเล่นโดยไม่รู้ตัว

สำหรับเรื่องนี้ก็เป็นการจับเอาเหตุการณ์จริงที่ชาวเมืองบอสตันต้องเผชิญภัยก่อการร้ายในปี 2013 มาบอกเล่าครับ เมื่อมีคนวางระเบิดในงานวัน Patriots Day จนส่งผลให้คนบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก ทำให้ทางการและเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายต้องหาเบาะแสเพื่อตามตัวคนร้ายมาให้ได้

ช่วงต้นก็เล่าเรื่องแบบเรื่อยๆ แต่ก็ไม่น่าเบื่อครับ เป็นการแนะนำตัวละครให้เราได้รู้จักกับชาวบอสตันที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าวันนั้นกำลังจะมีเหตุการณ์ร้ายที่ส่งผลกระทบต่อทุกชีวิต

ว่าตามจริงช่วงต้นเป็นการเกริ่นนำเรื่องที่อาจไม่มีอะไรหวือหวา แต่ในใจคนดูอย่างเราๆ ก็อดสลดไม่ได้ล่ะครับ เพราะทุกคนใช้ชีวิตปกติ ไม่มีใครนึกเลยว่าเดี๋ยวจะมีเรื่องร้าย หรือเดี๋ยวบางคนจะต้องตายจากกันไป เลยทำให้ช่วงต้นนี่แม้จะไม่มีอะไร แต่มันก็สร้างอารมณ์ดราม่าให้เราสัมผัสได้ไม่น้อย

แล้วพอเกิดเหตุ ความวุ่นวายก็เริ่มต้นครับ จากนั้นหนังก็เล่าให้เราเห็นภาพว่าตัวผู้ก่อการร้ายทำอะไรต่อไป และเจ้าหน้าที่ทั้งหลายต้องสืบสวนตามรอยอย่างไรบ้าง ซึ่งในส่วนของการตามสืบนี้หากให้ว่าตามจริงแล้ว มันก็ไม่ได้มันส์แบบหนังแอ็กชันสืบสวนหรอกครับ มันไม่เหมือน 24 หรือหนังสืบสวนแข่งกับเวลาที่ทำออกมาแบบมันส์เต็มที่

ส่วนหนึ่งคงเพราะหนังอิงจากเหตุการณ์จริงน่ะครับ และในเหตุการณ์จริงนั้นมันก็อาจไม่ได้มีอะไรหวือหวาเร้าใจ ดังนั้นหากใครคาดหวังความระทึก ลุ้น เร้าใจแบบต่อเนื่องก็อาจต้องปรับความเข้าใจสักเล็กน้อย คือหนังมันก็ยังระทึกและชวนลุ้นอยู่น่ะครับ เพียงแต่มันไม่ได้รับการปรุงให้มันส์โม้แบบหนังแนวนี้หลายๆ เรื่อง

Peter Berg คุมหนังเรื่องนี้ออกมาได้น่าติดตามดีครับ แต่อย่างที่บอกว่าหนังจะไม่เยอะในแง่ของความเร้าใจสักเท่าไร เรียกว่าถ้าอยากได้อะไรที่ตื่นเต้นลุ้นจัดๆ ล่ะก็ Deepwater Horizon ผลงานเรื่องที่แล้วของเขาจะตอบสนองจุดนี้ได้ถึงใจพระเดชพระคุณมากกว่า

ช่วงที่หนังทำออกมาได้น่าจดจำมากหน่อยก็คือตอนต้นที่แนะนำตัวละคร กับช่วงที่ผู้ก่อการร้ายจี้ชิงรถเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งช่วงที่ว่านี่ทำได้ตื่นเต้นดีครับ ความกดดันมันแผ่ออกมาเลยทีเดียว แล้วก็อีกหลายๆ ฉากที่มีการ “สูญเสียชีวิต” ก็ทำได้น่าสลดไม่น้อยเหมือนกัน

และฉากที่ชวนให้ขนลุกอย่างภรรยาของผู้ก่อการร้ายที่ถูกสืบสวน ก็ทำให้เราเห็นล่ะครับว่าความเชื่อเป็นอะไรที่ทรงพลังมาก การที่ผู้ก่อการร้ายหลายรายทำอะไรลงไปนั้น สำหรับเขามันคือความถูกต้อง(ตามนิยามที่พวกเขามี) และมันเป็นความเชื่อที่แรงกล้ามาก… ผมขนลุกกับอะไรแบบนี้นะ เพราะมันเป็นสิ่งที่รับมือได้ยากจนน่ากลัวทีเดียว

โดยรวมแล้วหนังอาจไม่ได้สุดยอดหรือตื่นเต้นแบบเต็มที่น่ะนะครับ แต่หนังทำออกมาได้น่าติดตามดาราที่มาร่วมจอก็แสดงกันได้ดี ส่วนประเด็นที่หนังพยายามชูอย่าง “ทุกอย่างเริ่มต้นจากความเกลียด แต่ความรักทำให้มันจบลง” นั้น ก็ถือว่าเอาประเด็นนี้มาเล่นได้โอเคครับ แต่ก็ไม่ถึงกับลึกอะไรมาก ส่วนหนึ่งคงเพราะหนังอิงจากเรื่องจริง เลยไม่สามารถปรุงแต่งอะไรได้มากนัก (ถ้าปรุงหรือเน้นจุดนี้มากเกิน มันก็อาจดูเป็น “หนัง” มากกว่า)

เอาเป็นว่าแฟนพี่ Mark กับผู้กำกับ Berg ก็ตามมาดูได้เลยครับ แม้จะไม่สนุกเต็มๆ เท่า Lone Survivor หรือ Deepwater Horizon แต่ก็น่าจดจำใกล้เคียงกันน่ะ

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7/10)