
หนังสไตล์เอาความจริงของสังคมมาตีแผ่นี่จัดว่าเข้าทางผมเลยครับ ดูแล้วชอบเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าจะชอบมากหรือชอบน้อยเท่านั้นเอง และสำหรับเรื่องนี้ ผมเข้าข่ายชอบมากครับ ![]()
ประเด็นที่ถูกเอามาตีแผ่ในเรื่องคือเรื่องการเงินครับ พวกการลงทุน ค้าหุ้น เรื่องย่อเล่าแบบง่ายๆ คือ ขณะที่พิธีกรรายการวิเคราะห์หุ้นนามว่า ลี เกตส์ (George Clooney) กำลังดำเนินรายการอยู่ จู่ๆ ก็มีชายชื่อ ไคล์ (Jack O’Connell) โผล่เข้ามา แล้วก็เอาปืนจ่อหัวเขา ตามด้วยเอาเสื้อกั๊กติดระเบิดบังคับให้ลีใส่
ไคล์หมดตัวจากหุ้นที่ตกฮวบไปเมื่อวันก่อน (เขาซื้อตอน $75 เหรียญครับ แล้วพอมันตกก็เหลือแค่ไม่ถึง $9 เหรียญเท่านั้น) แล้วสิ่งที่เขาต้องการคือ เขาอยากได้คำอธิบายว่ามันเกิดบ้าอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ หุ้นที่ใครๆ ก็บอกว่าน่าเชื่อถือถึงตกรุนแรงจนเขาสิ้นเนื้อประดาตัวแบบนี้
หนังเป็นแนวดราม่าผสมทริลเลอร์แนวจับตัวประกันซึ่งทำออกมาได้ดีครับ คือมันไม่อาจไม่ได้สุดยอดลุ้นโคตรๆ อะไรแบบนั้นนะ แต่ถือว่าทำได้น่าติดตาม แม้จะมีช่วงผ่อนหรือช่วงช้าบ้าง แต่ก็ไม่มากจนเกินไปครับ
หนังมักจะหยอดอะไรที่ชวนให้คนดูอยากติดตามต่อ แทรกลงไปเป็นพักๆ เช่นบางช่วงก็เน้นลุ้น เน้นตื่นเต้น บางช่วงก็เน้นบทสนทนาเชือดเฉือนที่กระแทกวงการค้าหุ้นและวงการการเงิน (ซึ่งผมชอบมากเพราะหลายอย่างมันตรงดี) และบางจังหวะก็แทรกความฮาลงไปได้แบบกำลังดี (เรื่องไวอากร้าน่ะครับ 555)
ในแง่การแสดงก็หายห่วงล่ะครับ ไม่ว่าจะ Clooney, Julia Roberts ในบทโปรดิวเซอร์คุมรายการที่ต้องคอยวิ่งวุ่นหาทางทั้งจัดรายการและแก้สถานการณ์, O’Connell ก็ไปได้ดีกับบทไคล์ ซึ่งเขาก็ดูน่าสงสารล่ะครับ สภาพโทรมเหมือนหมดตัวจริงๆ
นอกจากนี้ยังมี Dominic West ในบท วอลท์ แคมบี้ เจ้าของบริษัทที่หุ้นตกฮวบๆ นั่นแหละ ขานี้ก็เล่นได้น่าหมั่นไส้สมบท และที่ลืมไม่ได้คือ Caitriona Balfe นางแบบสาวที่เริ่มหันมาเอาดีทางการแสดง (เธอเป็นที่จดจำมากจากซีรี่ส์ Outlander ครับ) มาเรื่องนี้เธอก็ทำให้เราเชื่อครับ ว่าจริงๆ แล้วเธออยู่ข้างไหนกันแน่ ระหว่างบริษัทที่เธอทำงานให้ หรือคนมากมายที่ต้องสูญเสียเงินในชั่วข้ามคืน
โดยส่วนตัวผมว่า Clooney เป็นเหมือนเครื่องหมายการค้าสำหรับหนังแนวกระแทกความจริงน่ะครับ หลายเรื่องที่พี่แกเล่นก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ไม่ว่าจะ Syriana, Michael Clayton, Up in the Air หรือ The Ides of March ทุกเรื่องล้วนสามารถเอา “เรื่องจริงมาพูดเล่น” ได้อย่างน่าสนใจและชวนคิดอย่างยิ่ง
อย่างเรื่องการลงทุนที่เรามักได้ยินเสมอว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ซื้อควรศึกษารายละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน” ซึ่งประโยคสั้นๆ นี่เราต้องมองให้ลึกครับ มันไม่ใช่แค่ศึกษาผลประกอบการองค์กร แต่มันต้องศึกษาทั้งหมด และหนึ่งในนั้นก็คือความเสี่ยงที่เกิดจาก “ตัวคน” ด้วย
ถ้าพูดกันแบบไม่อ้อมค้อมก็คือ คนที่เกาะกระดานอยู่เบื้องหน้านั้นไม่มีทางรู้หรอกครับคนที่อยู่หลังกระดานหรือเหนือกระดานน่ะเขากำลังทำอะไรกันอยู่ แต่ที่แน่ๆ คือเขาเอาเงินของเราไปบริหารและลงทุน และบางครั้งก็น่าขำที่แม้มันจะเป็นเงินของเราแต่เรากลับไม่มีสิทธิ์ในมันอย่างแท้จริง จะไปเรียกคืนเต็มจำนวนตามที่ต้องการไม่ได้ เพราะเราต้องเล่นตามเกมและกติกาที่เขากำหนดกันมา
แต่ปัญหาคือ เขาเอาเงินเราไปทำอะไรบ้าง? แอบเอาเงินเราไปหมุนนอก “เกม” ไหม? ซึ่งก็มีหลายกรณีศึกษาที่ทำให้เรารู้ว่าคนที่เอาเงินเราไปบริหารนั้นน่ะ บางครั้งก็ไม่สนกฎกติกาอะไรที่บอกเราไว้หรอกครับ เขาแค่มุ่งแต่จะทำเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของตัวเองเท่านั้น
ถ้าเงินกองนั้นได้กำไร เราก็ได้กำไร เขาก็ได้กำไร แต่ถ้ามันขาดทุนขึ้นมา เราก็ขาดทุน แล้วเขาก็จะปิดปากเราว่า “คุณยอมรับความเสี่ยงแล้วนี่ จะมาโทษกันได้ไง ทีนี้ตอนได้เงินคุณก็ดีใจไม่ใช่เหรอ ของแบบนี้มันมีได้มีเสีย” ฯลฯ และที่น่าเจ็บใจคือแม้เขาจะล้มแต่ก็เขาล้มบนฟูกครับ และฟูกส่วนใหญ่ก็ถูกยัดด้วย “เงินของเรา” นั่นแหละ
(ถัดจากนี้อาจมีสปอยล์ครับ ใครไม่อยากทราบหยุดอ่านก่อนได้นะครับ บอกได้คร่าวๆ ว่าหนังดีน่าดู ตามนั้นนะ
)
ว่าตามจริงตัวละครในเรื่องนี้ก็คือมนุษย์ธรรมดาครับ ไม่มีใครดีหมดหรือร้ายหมด อย่างตัวไคล์เองเขาก็ไม่ใช่คนที่ดีเด่อะไร เขาแค่คนธรรมดาที่ไม่ได้มีเงินมากมาย แต่ก็พยายามปั่นเงินที่มีให้มากขึ้น ตามกระแสเรื่องหุ้นที่สังคมตีกันขึ้นมา เขาก็เลยมีความหวัง และพร้อมจะทุ่มทุกอย่างเพื่อชีวิตที่ดีกว่า
แต่พอหมด ทุกอย่างก็จบ ชีวิตก็แย่กว่าเดิม และที่แย่มากๆ คือ เขาไม่รู้เลยว่าเขาหมดตัวได้ยังไง มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ เขาและคนเล่นหุ้นตัวนี้ (มูลค่ากว่า $800 ล้าน) ถึงสูญกันหมด ครั้นพอมีคนออกมาชี้แจงก็แทบจะเหมือนไม่ได้ชี้แจงเลยครับ เพราะบอกแค่ว่า “อ๋อ มันคือความผิดพลาด มันสุดวิสัย เราพยายามเต็มที่แล้ว”
เราเจอคำอธิบายลักษณะนี้กันตลอดครับ ไม่ใช่เฉพาะในวงการค้าหุ้นเท่านั้น แต่แทบจะทุกวงการเลยก็ว่าได้ ทั้งภาครัฐและเอกชน หรือกระทั่งคนธรรมดาเดินดินคนมากมายมักจะใช้ประโยชน์จาก “การแก้ตัว” มากกว่า “การแก้ไข”
ไม่ต้องอื่นไกลครับ อย่างน้ำท่วมเป็นต้น คือมันคงไม่ใช่แค่ท่อตัน, ระบายไม่ทัน, ขยะไปติด คือมันคงไม่ใช่แค่นั้นน่ะ มันมีเรื่องตึกที่เพิ่มขึ้น, เมืองที่เป็นปูนมากกว่าดิน และการบริหารจัดการน้ำที่ “ไม่ทันและไม่เข้ายุคสมัย”
ประมาณว่าเมื่อก่อน ท่อแค่นี้ก็พอระบายแล้ว แต่ตอนนี้ประชากรในเมืองเพิ่มขึ้น คอนโดมีตั้งเท่าไร การใช้น้ำเพิ่มขึ้นเท่าไร? การบริหารจัดการน้ำต้องเพิ่มอีกเท่าไร? ไหนจะพื้นดินที่กลายเป็นถนนหรือปูนอีก มันมีมากขึ้นเท่าไร? เอาแค่ดูจากเรื่องพวกนี้ การรองรับน้ำและจัดการน้ำมันก็ต้องเปลี่ยนไปแล้วครับ วิธีเดิมๆ มันใช้ไม่ได้ตลอดศกหรอก
แต่แล้วพวกเรามักจะทำอะไรครับหลังเจอเรื่องพวกนี้… เราปล่อยผ่าน เราหยวนๆ เรา “ช่างมัน” จนปัญหาที่มีมันไม่ได้รับการแก้ไข และตัวปัญหาที่ชอบ “แก้ตัวด้วยข้ออ้าง” พอเจอแบบนี้ก็จะเหลิง เขาจะงัดข้ออ้างมาใช้อีกในครั้งต่อๆ ไป ส่วนเราส่วนใหญ่ก็จะชินกับเรื่องพวกนี้ไปทีละนิด แล้วพอไม่มีใครท้วงหรือทวงถาม ปัญหาเดิมก็ไม่หาย ปัญหาใหม่ก็ตามมา จาก 1 เป็น 2, จาก 100 เป็น 1,000
ปัญหามากมายที่เราเผชิญอยู่ทุกวันนี้คือตะกอนของปัญหาเดิมๆ ที่มีแต่จะเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้น ทั้งหมดก็เพราะ “เราไม่พยายามตั้งคำถาม” ไม่พยายามหาคำตอบ ไม่พยายามช่วยกันแก้ไข เราเอาหูไปหาเอาตาไปไร่ แล้วพอปัญหารุนแรงมากๆ ค่อยสะดุ้งตกใจ ซึ่งบางทีมันก็สายเกินไป และบางครั้งถ้าใครเกิดทนไม่ไหว เขาก็อาจจะระเบิดออกมาแบบที่ไคล์ทำ
ผมอาจไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ไคล์ทำทั้งหมด แต่ผมเห็นด้วยกับการตั้งคำถามน่ะครับ คือมันควรมีใครถามไหมว่าตกลงเงิน $800 ล้านมันไปไหน มันระเหยไปได้เองเหรอไง? หรือถ้าบอกว่าเป็นเพราะระบบมีปัญหา ก็แจกแจงมาว่าปัญหาคืออะไร ไม่ใช่แค่บอกว่า “มันผิดพลาดๆ” เป็นวาทกรรมซ้ำๆ ที่ตอบเหมือนไม่ตอบแบบนั้น
และพอถึงจุดหนึ่งหนังก็เริ่มเฉลยปมครับ ว่าจริงๆ ระบบมันไม่สามารถผิดพลาดขนาดนั้นได้หรอก มันผิดพลาดขนาดจะทำให้เงินหายไป $800 ล้านไมไ่ด้หรอก มีแต่ “คน” เท่านั้นแหละที่จะทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ได้
อันนี้ก็ทำให้ผมคิดน่ะครับ มันคือประเด็นที่ถูกพูดถึงหลายครั้งและมันน่าสนใจ (แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจแบบจริงๆ จังๆ) นั่นคือ ไม่ว่าจะระบบ กฎ กติกา หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ มันถูกทำขึ้นโดยคนครับ มันคือ “เครื่องมือ” ชนิดหนึ่งที่เราใช้เพื่อสร้างสรรค์ก็ได้ ใช้เพื่อทำลายก็ได้
และที่สำคัญคือเราจะใช้เพื่อสร้างประโยชน์กับคนหมู่มากก็ได้ หรือใช้เพียงเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับคนเพียงไม่กี่คนก็ได้เช่นกัน… ดังนั้นบางครั้ง “ระบบ” ก็ถูกใช้เพื่อเป็น “แพะรับบาปยุคดิจิตอล” ให้มนุษย์ผู้เป็นนายมันใช้เป็นข้ออ้าง เหยียบข้ามไป เพื่อปกปิดความผิดของตน
จากที่ผมเขียนมานั้น เราจะพบว่าพฤติกรรมอันน่ากลัวของมนุษย์ที่เป็นชนวนเหตุของปัญหามีอยู่ 2 แบบ (ในเรื่องนี้นะครับ)
แบบแรกคือเห็นปัญหา แต่ช่างมัน ปล่อยผ่าน หยวนๆ แบบนี้เกิดจากคนทั่วไปที่ต้องรับผลของปัญหา
กับแบบที่ 2 คือ เป็นพฤติกรรมของคนที่ก่อปัญหา เขารู้ว่าสิ่งที่ตนทำอาจเกิดปัญหา แต่ก็พร้อมทำเพื่อให้ตนเองได้ประโยชน์ แล้วก็ปล่อยให้ระบบ “หยวน” ของคนหมู่มากทำงานไป จากนั้นก็หา “ข้ออ้าง” มาปิดประเด็น แค่นี้เขาหรือเธอก็รอดไปอีกหน (บางครั้งก็รอดไปพร้อมเงินของคนมากมายอีกด้วย)
+++++++++++++++++++
การตั้งคำถามของไคล์เลยถือเป็นอะไรที่ตรงจุดครับ เมื่อถึงจุดหนึ่งแม้แต่ลีเองก็ยังเห็นใจและอยากรู้เหมือนกันว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้น อันนำมาสู่อีกประเด็นที่ว่าส่วนหนึ่งที่ปัญหามันหมักหมม ก็เพราะ “สื่อไม่ทำหน้าที่สื่ออย่างแท้จริง”
ผมเชื่อว่าคุณประโยชน์แท้ๆ ของสื่อ คือการตรวจสอบสังคม การเป็นกระบอกเสียงให้ประชาชน, การกล้าตั้งคำถามต่อทุกฝ่ายที่ก่อปัญหา และบางครั้งก็อาจต้องพยายามนำเสนอปัญหาที่สำคัญ แม้คนทั้งโลกไม่สนใจก็ตาม แต่ก็ต้องพยายามเสนอจนกว่าคนจะเห็น เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหามันลุกลาม
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ครับว่าสื่อแบบนั้นก็คงเหนื่อยนะ… พวกสื่อที่พยายามตีแผ่ความจริงน่ะ ส่วนใหญ่คนไม่สนหรอก แต่พวกเขาจะพาหันไปดูละคร ดูข่าวดราม่า ดูว่าดวงจะเป็นไงมากกว่า ซึ่งจริงๆ ถ้าสื่อรวมพลังกันนำเสนอในทางเดียว มันก็คงเกิดพลังน่ะนะครับ อย่างถ้าทุกช่องกระพือโหมปัญหาให้คนตื่น คนมันก็ต้องตื่นกันบ้างล่ะ
แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่สื่อจะรวมพลังแบบนั้นได้ เพราะไม่ใช่ “คนเบื้องหลังสื่อ” ทุกคนที่จะเล็งไปที่ประโยชน์ของคนส่วนมาก โปรดิวเซอร์บางคนก็เข้ามาเพื่อโกยเงินก็มีครับ ดังนั้นก็ทำข่าวทำรายการที่มันตอบโจทย์ดราม่าของคนสิ ทำข่าวแรงๆ ทำข่าวฉาวๆ เสิร์ฟของที่คนส่วนมากชอบถึงปาก แล้วเมื่อถึงจุดหนึ่งสื่อที่พยายามนำเสนออะไรดีๆ (แต่ไม่มีคนสน) ก็จะตายไปเอง หรือไม่ก็กลายพันธุ์มาเป็นสื่อเชิงพานิชย์
อย่างในเรื่อง เราก็จะเห็นลีที่สนุกกับบทบาทสื่อที่เร้าอารมณ์ให้คนซื้อหุ้น เหลิงกับความเป็นกูรูของตน ยิ่งคนฟังมากยิ่งชอบ ยิ่งคนเชื่อมากยิ่งแกรนด์ ซึ่งในแง่หนึ่งมันก็สร้างประโยชน์ให้คนดูนะ มันทำให้หลายคนรวยขึ้น
แต่ประเด็นคือลีและทีมงานลืมที่จะสืบค้นข้อมูลให้ครบทุกด้าน ทำหน้าที่สื่อไม่ครบมุม จริงที่การที่หุ้นตกอาจไม่ใช่ความผิดของรายการ Money Monster แต่ลีก็มีส่วนผิดที่หลับหูหลับตาเหลิงไปกับการทำกำไรหรือตัวเลขสวยๆ กระดานกับเอกสาร โดยไม่ช่วยระวังภัยให้ หรือไม่ค่อยจะให้ “สติ” กับคนเล่นหุ้นที่ดูรายการเขาอยู่
นั่นคือสื่อแบบที่ทุกวันนี้มักจะเป็นกันครับ กลัวคนดูไม่ชอบ กลัวเรตติ้งไม่งาม เหมือนพ่อแม่ที่ตามใจลูก อยากดูอะไรก็ดู อยากได้อะไรก็ได้ และไม่ยอมสอนหรือเสนอสิ่งที่มันจำเป็นหรือสำคัญต่อชีวิตจริงๆ เหมือนลูกไม่กินผัก เราก็ตามใจ ไม่กินผักก็ไม่กิน อยากกินลูกอม ของหวาน ก็จัดไป ผักไม่ต้องก็ได้…
แต่การทำแบบนั้นไปเรื่อยๆ สักวันก็จะเข้าอีหรอบพ่อแม่รังแกฉัน ซึ่งสำหรับกรณีของสื่อนี้ก็คงต้องใช้คำว่า “สื่อรังแกฉัน” แต่ถ้าให้ว่ากันตรงๆ สื่อไม่ได้รังแกอย่างเดียวหรอกครับ เราเองนั่นแหละที่มีส่วนรังแกหรือ “ละเลย” ตัวเองจนถ้าเกิดปัญหา ก็เพราะเรานั่นแหละครับที่เป็นผู้สนับสนุนหลัก สำหรับการ “ตามใจตัวเอง” อย่างเป็นทางการ
ถ้าลองมองดีๆ จะพบว่าแต่ละประเด็นมันคาบเกี่ยวกันหมด ซึ่งก็ถูกแล้วล่ะครับ เพราะสังคมมันคือผลรวมขององค์ประกอบต่างๆ ที่มาอยู่ร่วมกัน คนมีผลต่อสื่อ สื่อมีผลต่อเศรษฐกิจ เศรษฐกิจมีผลต่อวิถีชีวิต วิถีชีวิตคนหนึ่งก็มีผลต่ออีกคนหนึ่ง ฯลฯ แต่ประเด็นคือตอนนี้สังคมมันออกแนวส่งเสริมในทางสร้างสรรค์ต่อกัน หรือมันยุ่งเหยิงและสะสมปัญหากันแน่?
ฉากหนึ่งที่ผมชอบคือตอนที่ลีพยายามพูดโน้มน้าวให้คนช่วยชีวิตเขาผ่านการซื้อหุ้น แล้วพอผลลัพธ์ออกมาก็ทำเอาลีอึ้งน่ะครับ เพราะนอกจากคนไม่ช่วยซื้อแล้ว ยังมีคนขายทิ้งเยอะขึ้นด้วย จนไคล์พูดออกมาประมาณว่า ก็รายการของคุณมันเป็นรายการที่ชี้นำให้คนเล็งคุณค่าไปที่เงินนี่หน่า เขาไม่สนใจเรื่องชีวิตกันหรอก
ว่าแต่ทุกวันนี้ สังคมถูกชี้นำไปในทางไหน? จริงๆ ถ้าอยากรู้ก็ไม่อยากนะครับ หันซ้ายหันขวาดูสิ่งที่สังคมเราเป็นดีๆ ก็ได้คำตอบคร่าวๆ แล้วล่ะ
Money Monster อาจไม่ใช่หนังที่สมบูรณ์แบบครับ แต่ผมชอบเพราะดาราที่มาแสดงก็เป็นคนโปรด การนำเสนอเล่าเรื่องก็ถือว่าน่าติดตามและชวนตื่นเต้นให้หลายๆ ช่วง และที่ชอบมากคือประเด็นที่หนังนำเสนอ แม้มันจะไม่ได้ลึกหรือซึ้งอะไรแบบสุดๆ แต่ก็ถือเป็นการจุดประเด็นที่ชวนคิด (และจริงๆ ผมว่าประเด็นเหล่านี้ก็สมควรแก่การคิดอยู่ไม่น้อย)
หนังกำกับโดย Jodie Foster ดาราออสการ์ที่หลังๆ ผันไปกำกับซะบ่อย ซึ่งดูแล้วก็ไม่ผิดหวังครับ และคาดว่าผมคงเอามาดูอีกหลายรอบแน่ๆ
สามดาวครับ

(8/10)
หมวดหมู่:Drama, Movie Reviews, Recommended Movies, Thriller










