The Rocketeer สร้างจากนิยายภาพของ Dave Stevens เรื่องของ คลิฟฟ์ ซีคอร์ด (Bill Campbell) หนุ่มนักบินที่ได้ไปพบกับเครื่องไอพ่นติดหลังโดยบังเอิญ เขาได้ใช้มันช่วยเหลือผู้คน จนมีการตั้งฉายาให้เขาว่า ร็อคเก็ตเทียร์ แต่ปัญหาคือเครื่องไอพ่นนี้เป็นที่ต้องการของทั้งทางการและคนร้าย ทำให้คลิฟฟ์และคนรอบตัวเขาตกเป็นเป้าในการตามล่า อันนำมาสู่การผจญภัยครั้งสำคัญที่มีอนาคตของโลกเป็นเดิมพัน
ก่อนอื่นอยากบอกว่าผมชอบโปสเตอร์ของหนังมากเลยครับ เห็นแว่บแรกก็ชอบเลย และจำได้ว่าที่อยากดูหนังก็เพราะชอบโปสเตอร์นี่แหละ ในขณะที่ตัวหนังนั้นก็ทำออกมาได้ไม่เลวครับ ช่วงต้นๆ อาจจะเดินเรื่องแบบเรื่อยๆ ไปสักนิด แต่พอถึงครึ่งหลังความสนุกก็เพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยรวมถือว่าดูเพลินไม่น้อยครับ ถือเป็นผลงานที่น่าพอใจในระดับกลางๆ ของผู้กำกับ Joe Johnston ที่แจ้งเกิดจาก Honey, I Shrunk the Kids แล้วก็ได้มาทำเรื่องนี้เป็นเรื่องถัดมา
ส่วนพระเอกผมว่าเขาคัดมาดีนะครับ Campbell ดูเหมาะกับบทนี้มาก ทั้งหล่อและสมาร์ท ติดขี้เล่นหน่อยๆ ส่วนนางเอกก็โคตรสวย ติดอันดับโคตรน่ารักตลอดกาลของผม Jennifer Connelly ก็คงไม่ต้องบรรยายอะไรล่ะครับ เรื่องนี้เธอดูดีจริงๆ แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกก็คือทั้งพระเอกนางเอกในเรื่องนี้ แม้จะดูดีมากก็ตาม แต่ในแง่ของบทแล้วกลับรู้สึกว่ายังดีได้อีกครับ เหมือนความหล่อความสวยน่ะได้นะ แต่เหมือนยังเด่นไม่สุดยังไงก็ไม่รู้สิ
Timothy Dalton อดีตเจมส์ บอนด์ก็มาเป็นเนวิลล์ ซินแคลร์ ดาราดังของฮอลลีวู้ดที่อีกด้านหนึ่งก็เป็นจารชนสองหน้า ซึ่งก็ดูเหมาะดีกับบทผู้ร้ายครับ, Alan Arkin ก็มาช่วยเพิ่มอารมณ์ขันของหนังกับบทพีวี เพื่อนสูงวัยผู้น่ารักของคลิฟฟ์, Paul Sorvino มาเป็น เอ็ดดี้ วาเลนไทน์ มาเฟียขาใหญ่ประจำเมือง บทนี้ตอนแรกเหมือนจะมาเพื่อร้ายเป็นหลัก แต่ไปๆ มาๆ บทนี้กลับมีมิติเลือดเนื้อมากกว่าที่คิดครับ (ดูแล้วแอบประทับใจไม่น้อยเหมือนกัน) และ Terry O’Quinn รับบทมหาเศรษฐีเฮาเวิร์ด ฮิวจ์ครับ
ในการดูรอบล่าสุดนั้น สิ่งหนึ่งในหนังที่จับใจผมคือดนตรีครับ เป็นท่วงทำนองแบบหนังซูเปอร์ฮีโร่แต่มาพร้อมความพลิ้วและความนุ่มนวล ตอนได้ยินใจก็คิดว่า “เอ ทำนองแบบนี้คุ้นๆ แฮะ… แต่รู้สึกว่าไม่ค่อยได้ยินสักเท่าไรในช่วงหลังๆ มานี้นะ” ตอนนั้นจำไม่ได้ครับว่าใครทำดนตรี ครั้นพอเห็นชื่อเท่านั้นล่ะ ผมถอนหายใจเลย… เป็นผลงานของ James Horner ครับ ซึ่งก็แน่นอนว่าผมไม่ได้ยินผลงานใหม่ๆ ของเขามาหลายปีแล้ว… ก็เขาจากไปเมื่อปี 2015 นี่ครับ… คิดถึงทำนองแบบนี้จริงๆ… ไม่มีใครทำได้แบบเขาครับ…
หนังจัดว่าดูเพลินพอตัวครับ ชอบตรงที่ความยิ่งใหญ่ของเรื่องมันค่อยๆ เพิ่มระดับไปจนถึงตอนท้าย (ตามสไตล์หนังสมัยก่อน) ฉากต่างๆ ก็ดูย้อนยุคสมจริงในระดับหนึ่ง (เหตุในหนังมันประมาณปี 1938 ครับ) สรุปคือถ้าชอบหนังแนวฮีโร่ผจญภัยเรื่องนี้ก็น่าลองอยู่ครับ
แต่ในแง่รายได้นั้น หนังไม่ทำเงินครับ ทำไปแค่ $46.7 ล้าน แต่ทุนสร้างนั้นปาไป $35 ล้าน สรุปคือขาดทุนครับ
สองดาวกว่าๆ ครับ

(6.5/10)

หมวดหมู่:Action, Adventure, Movie Reviews, Superhero











