ว่ากันแบบไม่อ้อมค้อมครับ การดู Skin Trade ไม่ได้ทำให้ต่อมมันส์หรือต่อมสนุกของผมทำงานสักเท่าไรเลย
ว่ากันแบบไม่อ้อมค้อมครับ การดู Skin Trade ไม่ได้ทำให้ต่อมมันส์หรือต่อมสนุกของผมทำงานสักเท่าไรเลย
ผมเคยเกริ่นไว้ตอนได้ดู CSI: Cyber ตอนแรกๆ ว่าความสนุกมันไม่มากเท่าไร และคาดหวังไว้ว่ามันจะสนุกขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป แต่พอดูจนจบปี 1 แล้ว สิ่งที่รู้สึกเมื่อตอนแรกๆ ก็ยังคงอยู่ครับ
อันว่าหนังแอ็กชันภาคต่อที่เด็ดขาดสนุกเท่าภาคแรกนั้น เอาเข้าจริงๆ ก็มีไม่เยอะเท่าไรครับ ส่วนหนึ่งเพราะภาคแรกถ้าไม่แน่จริงก็คงไม่สามารถก่อให้เกิดภาคต่อได้ ดังนั้นภาคแรกก็ต้องมีดีมากประมาณหนึ่ง ดังนั้นการจะทำภาคต่อนั้น อย่าว่าแต่จะให้ดีกว่า เอาแค่ให้ดีเท่าเทียมก็ถือเป็นงานใหญ่แล้ว
ใครเคยดูหนังแล้วในหัวของเรามันตะโกนก้องเกือบตลอดว่า “โว้วววววววววววว เฮ้ยยยยยยยยยยย AGhhhhhhhh” บ้างไหมครับ? คือตะโกนด้วยความทึ่งในตัวหนังน่ะครับ (ไม่ว่าจะทึ่งบวกหรือทึ่งลบก็เถอะ 555)
ภาคต่อจาก SPL ภาคแรกที่เจิ้นจื่อตันแสดงไว้ครับ
หนังบู๊ว่าด้วยเรื่องการขับเคี่ยวระหว่างตำรวจกับเจ้าพ่อระดับบิ๊กที่ไม่เคยมีใครเอาผิดเขาได้ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเจ้าพ่อคนนี้ทำสิ่งเลวร้ายมาแค่ไหนก็เถอะ
Once Upon a Time in Shanghai เป็นงานรีเมคจากหนังเก่าคลาสสิกเรื่อง นักชกจากชานตุง โดยเน้นไปที่ฉากการต่อสู้มือเปล่าที่สมจริง แล้วก็นำเสนอด้วยภาพสไตล์หนังเก่าขาวดำครับ
อีกหนึ่งงานกำกับของฉีเคอะ ผู้กำกับที่ถือเป็นแถวหน้าของฮ่องกงมานานพอๆ กับ John Woo น่ะครับ ซึ่งผลงานของลุงเขาก็มีขึ้นมีลงบ้างตามจังหวะ แต่เรื่องที่ยังอมตะประเภทดูแล้วไม่เบื่อของพี่แกก็ต้องยกให้ เดชคัมภีร์เทวดา (โดยเฉพาะภาค 2) และหวงเฟยหง (โดยเฉพาะภาค 2 อีกเหมือนกัน)
และแล้วเรื่องของ The Hunger Games ก็มาถึงบทสรุปครับ เมื่อแคทนิส (Jennifer Lawrence) และพรรคพวกต้องประจัญบานกับประธานาธิบดีสโนว์ (Donald Sutherland) ในขั้นเด็ดขาด ก็มีการต่อสู้ มีการล้มเจ็บล้มตายกันตามสูตร
เท่าที่รับรู้มา ดูเหมือนหนังเรื่องนี้จะโดนสับเป็นบะช่อพอสมควรเลยครับ (555) ในขณะที่ผมนั้นดูแล้วก็รู้สึกว่าดูได้เพลินๆ ไม่ได้ผิดหวังอะไรนัก ส่วนหนึ่งก็อาจเพราะไม่ค่อยหวังอยู่แล้ว บวกกับสไตล์ของหนังที่ออกมาใกล้ๆ กับที่กะไว้ตั้งแต่ตอนดูตัวอย่าง