Comedy

Somewhere in Queens (2022) ควีนส์…ที่แห่งนี้ยังมีฝัน

อีกหนึ่งหนังที่ดูแล้วชอบแบบไม่ทันตั้งตัว และใช่ครับ มันคือหนังแนว “ว่าด้วยช่วงหนึ่งของชีวิตคน” นั่นเอง

เรื่องของลีโอ รุสโซ่ (Ray Romano) และภรรยาของเขาแองเจล่า (Laurie Metcalf) ที่นอกจากทำงานแต่ละวัน รวมถึงคอยรับมือกับความวุ่นวายโน่นนี่จากพ่อแม่พี่น้องแล้ว พวกเขาก็ยังคอยเป็นกำลังใจให้แมทธิว (Jacob Ward) ลูกชายคนเดียวที่กำลังทำท่าว่าจะมีอนาคตไกลครับ เพราะเขาเล่นบาสได้เก่งจนมีแมวมองมาบอกว่าให้ลองไปสมัครสอบรับทุนเรียนมหาวิทยาลัยดูสิ – ส่วนเรื่องราวที่เหลือก็ไปติดตามต่อกันครับ

หนังเขียนบทและกำกับโดย Ray Romano ที่รับบทลีโอนี่แหละครับ ซึ่งคอซีรี่ส์อาจคุ้นหน้าคุ้นตาเขาบ้างเพราะนายคนนี้เขาโด่งดังจากซิมคอม Everybody Loves Raymond ที่สร้างติดต่อกันถึง 9 ปี สำหรับหนังเรื่องนี้เขาก็เขียนบทร่วมกับ Mark Stegemann โดยเรื่องราวส่วนใหญ่ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากชีวิตจริงของเขาเองที่เติบโตมาในครอบครัวชาวอิตาเลี่ยน เรียกว่าชีวิตนี้ผ่านงานแต่ง งานฉลองสไตล์อิตาเลี่ยนมาเยอะ แล้วก็มาบวกกับเรื่องของลูกชายเขาที่เล่นบาส จากนั้นก็กลั่นกรองออกมาเป็นเรื่องราวอย่างที่เราได้เห็น

บอกเลยครับว่าผมชอบมากทีเดียว อันนี้ก็ต้องชม Romano เลยเพราะบทถือว่าเขียนได้ดี ทั้งในแง่ภาพรวมและเชิงรายละเอียด แล้วมาบวกกับการกำกับของเขาซึ่งนี่ถือเป็นงานกำกับชิ้นแรกในชีวิตครับ ทำออกมาได้ขนาดนี้นี่ผมถือว่าได้เลยนะ เพราะเล่าเรื่องได้ลื่น มีประเด็นให้ติดตาม มีสาระให้เก็บกลับไปคิด และที่สำคัญคือหนังสามารถบิ้วอารมณ์ทำให้คนดูอินไปกับเรื่องราวได้พอสมควร ยิ่งใครที่ชีวิตนี้ผ่านเรื่องราวมาหลากหลาย – ไม่ว่าจะการทำงาน เรื่องปัญหาในครอบครัว ทะเลาะกับพ่อแม่พี่น้อง การพยายามทำตามฝัน รวมถึงผ่านการมีลูก ได้ฟูมฟักลูกที่จากตัวเล็กๆ จนกลายเป็นตัวโตๆ พร้อมจะบินออกจากอ้อมอกเราไป – เชื่อว่าใครที่เคยผ่านอะไรเหล่านี้มาแล้วจะยิ่งอินหนักเข้าไปอีก

ซึ่งก็พอดีครับที่ผมอยู่ในข่ายนั้นพอดี เลยสนุกกับการดูมาก ในแง่ของหนังนี่ผมถือว่าตอบโจทย์ความสนุกและบันเทิงได้พอสมควร เพราะดูแล้วเพลิน ดูแล้วยิ้มไปกับสถานการณ์ที่ชวนขัน แล้วก็อึ้งยามเกิดเหตุการณ์เคร่งเครียดขึ้นมา เรื่องเนื้อหานี่ผมว่าดีเลยครับ ดูแล้วมันอยากรู้ว่าเรื่องราวจะไปจบลงตรงไหน

ผมชอบที่หนังมีความลึกซึ้งในระดับหนึ่ง คือดูแล้วเราจะสัมผัสได้ถึงความคิดหรือความรู้สึกของตัวละครแต่ละคน ไม่ว่าจะลีโอ, แองเจล่า, สติ๊กส์ รวมถึงพ่อแม่วงศาคณาญาติตระกูลรุสโซ่ที่บางคนมีบทไม่เยอะ แต่หนังก็เฉลี่ยเกลี่ยบท นำเสนอคาแรคเตอร์ของตัวละครเหล่านั้นออกมาได้ค่อนข้างชัด นั่นแหละครับที่ทำให้ผมรู้สึกว่าหนังมีความลึก ไม่ได้เล่าแบบเอาฮาเอาขำแบบเผินๆ ไม่ได้ฉายให้เห็นแค่ว่าสถานการณ์นั้นวุ่นวายแล้วจบ แต่เราจะเห็นไปถึงโยงใยสายสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร ใครถูกกับคนไหน ไม่ถูกกับคนไหนนี่เห็นได้ชัด

นักแสดงก็ถือว่าคัดมาดีครับ สำหรับพวกรุ่นเก๋าน่ะไม่ห่วงอยู่แล้ว ส่วนรุ่นใหม่อย่าง Ward ที่รับบทแมทธิวหรือสติ๊กส์ก็ถือว่าดูนิ่งๆ ซื่อๆ ใสๆ เหมาะกับบทดี แต่รายที่ถือว่าเล่นได้ดีและเด่นต้องยกให้ Sadie Stanley ในบทแดนี่ บรูคส์ แฟนสาวของสติ๊กส์ ซึ่งไม่นานมานี้ผมเพิ่งประทับใจเธอจาก Karate Kids: Legends ครับ โดยเรื่องนั้นนี่เธอเล่นดี แต่บทอาจไม่เปิดโอกาสให้ทำอะไรมากนัก แต่กับเรื่องนี้เราจะได้เห็นฝีมือเธอแบบเต็มขั้น เธอสามารถถ่ายทอดความซับซ้อนและมิติของตัวละครนี้ได้อย่างเจ๋ง ไม่ว่าจะยามสดใสร่าเริงหรือยามกดดันยามต้องเก็บงำอะไรบางอย่างไว้ เธอเล่นได้ถึงจริงครับ

ผมนั้นแฮปปี้เสมอครับยามได้ดูหนังดราม่าดีๆ แบบนี้ คือมันได้ทั้งความสนุก ได้รับรู้เรื่องราวของชีวิตคนที่หลายๆ ครั้งก็สะท้อนประเด็นมาให้เราได้คิดต่อ และบางประเด็นก็อาจจะตรงกับชีวิตเราเข้าพอดี หรือไม่สักวันเราก็อาจจะเจอเรื่องแบบนี้เข้าก็ได้ ดังนั้นการได้สัมผัสประสบการณ์เหล่านี้ผ่านหนังมันก็เหมือนเป็นการช่วยเราเตรียมตัวในระดับหนึ่งน่ะครับ เผื่อไว้ว่าสักวันหนึ่งเจอเข้าเราจะได้พอมีแนวทางที่จะรับมือหรือแก้ไขเรื่องนั้นๆ ให้เรื่องมันจบสวย หรืออย่างน้อยก็ลดโอกาสที่มันจะจบแบบไม่สวยลงสักหน่อยก็ยังดี

อีกหนึ่งของดีที่ต้องพูดถึงคือดนตรีโดย Mark Orton ครับ ถือว่าช่วยเสริมอารมณ์และเพิ่มมิติแต่ละฉากได้กำลังเหมาะ ส่วนสารพัดเพลงอิตาเลี่ยนที่หนังใส่ลงมาก็ช่วยชูรสให้หนังได้อย่างดี ใครชอบเพลงสไตล์นี้น่าจะเพลินเลยล่ะครับ

ส่วนแง่คิดที่ได้จากหนังเรื่องนี้ อย่างแรกเลยที่เข้าหัวคือ คนเป็นพ่อเป็นแม่นั้น ไม่สามารถปกป้องลูกได้ตลอดไปหรอกครับ อย่างการที่ลีโอพอเห็นลูกชายจิตตกจนกินไม่ได้นอนไม่หลับหลังมีปัญหาในความรัก เขาเลยพยายามยื่นมือเข้าช่วย แต่สุดท้ายแล้วมันกลับกลายเป็นการทำให้เรื่องมันยุ่งเหยิงยิ่งขึ้นไปอีก

จุดนี้ก็เหมือนสอนใจพ่อแม่น่ะครับ ว่าถ้าอยากให้ลูกเติบโต ก็ต้องให้เขาเผชิญกับปัญหาและหาทางออกหาทางแก้ด้วยตนเอง ไม่ว่าเรื่องรัก เรื่องชีวิต หรือเรื่องอะไรก็เถอะ ส่วนเรานั้นก็คอยอยู่ข้างๆ คอยให้คำปรึกษา คอยแนะนำไป แต่อย่าไปก้าวก่ายหรือพยายามแก้ไขให้ เพราะมันอาจกลายเป็นว่าเราไปขัดขวางกระบวนการเรียนรู้ของเขาไป – อย่างที่โฆษณาเขาว่าน่ะครับ ว่าเยอะเลอะก็ยิ่งเยอะประสบการณ์ อยากให้ลูกโตขึ้นพร้อมทักษะในการรับมือสารพัดเรื่องราวในชีวิต ก็ต้องให้ปล่อยให้เขาสู้กับมันไป อยากโอกาสที่ลูกจะได้สร้างภูมิคุ้มกันด้านความผิดหวังให้ตนเอง

แต่ก็ต้องประเมินปัญหาด้วยน่ะนะครับ ถ้าปัญหามันใหญ่มาก หรือเป็นปัญหาประเภทที่ถ้าปล่อยไว้แล้วเรื่องมันจะลุกลาม ก็อาจต้องหาทางคุยกับลูกเพื่อจำกัดความเสียหายไว้ก่อน แล้วค่อยสอนให้เขาสู้กับมันต่อ

อีกเรื่องก็คืออย่าเห็นลูกเป็นม้าแข่งที่พ่อแม่จะเอาไว้ไปแข่งกับคนอื่นๆ เพื่อเกียรติ เพื่อศักดิ์ศรี หรือหน้าตาของตนเอง อันนี้ก็ต้องแยกแยะดีๆ ครับ คือการอยากให้ลูกได้สิ่งดีๆ เรียนดีๆ ได้โอกาสดีๆ เพื่อตัวเขาเอง อันนี้น่ะเข้าใจได้ แต่ถ้าเราอยากให้เขาเก่งเพียงเพื่อตัวเราเองจะได้มีชื่อไปด้วย จะได้เอาไว้อวดกับเพื่อนพ้องน้องพี่ได้ นี่ก็ต้องทบทวนแล้วล่ะครับว่ามันใช่ไหม ที่สำคัญเลยคือลูกโอเคกับการต้องก้าวเดินบนทางที่เราต้องการไหม – ว่าง่ายๆ คือเราไปบังคับฝืนใจลูกหรือเปล่า นี่แหละที่ควรถามตัวเราเอง

และสิ่งสำคัญในครอบครัวก็คือความรัก ความเข้าใจ และการให้อภัยต่อกัน โดยเฉพาะที่มีใครทำอะไรผิดพลาดพลั้งไป ครอบครัวก็ควรจะคอยซัพพอร์ตและไม่ซ้ำเติม แต่ขณะเดียวกันคนที่มีปัญหานั้นก็ต้องยอมรับในสิ่งที่ตนทำ และเรียนรู้จากมันด้วยนะครับ ไม่ใช่เรียกร้องให้คนทั้งจักรวาลมาให้อภัยและให้โอกาส แต่ตัวเองยังทำเหมือนเดิม ผิดแล้วผิดอีก ผิดซ้ำผิดซ้อน แบบนั้นมันก็ไม่เวิร์ค

อีกประเด็นที่ผมชอบคือ ตอนที่แองเจล่ารู้ว่าลีโอก้าวก่ายเรื่องของแมทธิวจนเรื่องมันวุ่นไปหมด และลีโอก็ไม่ยอมรับผิดอะไรทั้งนั้น เอาแต่แก้ตัวไปเรื่อย จนในที่สุดแองเจล่าก็สุดทน เลยปาเค้กใส่ลีโอซะเลย ประมาณว่า “เมื่อไหร่คุณจะหยุด เมื่อไหร่คุณจะสำนึก”

ฉากนี้มันทำให้ผมเข้าใจเลยนะว่า

“รัก… แต่ไม่ได้แปลว่าฉันจะไม่ปาเค้กใส่เธอ ยามเธอทำล้ำเส้น
รัก… แต่ไม่ได้แปลว่าฉันจะต้องรอเธอกลับบ้าน หลังจากที่เธอผลุนผลันออกไปด้วยอารมณ์
รัก… แต่ไม่ได้แปลว่าฉันจะทนให้อภัยเธอได้ในทันที”

ฉากนี้มันบอกกับผมเลยว่า นายต้องแยกแยะนะ เพราะแองเจล่าไม่ใช่จะไม่รักลีโอแล้ว เธอยังรักสามีคนนี้อยู่ แต่เมื่ออารมณ์มันถึงจุดพีคและสามีก็ไม่แก้ไขอะไรเลย มันไม่แปลกถ้าเธอจะของขึ้นจนคุมตัวเองไม่อยู่ และทำอะไรรุนแรงไป

ลีโอทำไม่ถูกครับ และผมไม่ได้บอกว่าแองเจล่าทำถูก เธอก็ใช้อารมณ์ทำอะไรแรงๆ ไปเหมือนกัน แต่มันทำให้ผมเข้าใจ ว่าบางทีแม้อีกฝ่ายจะรักเราแค่ไหน แต่หากเราล้ำเส้นมากไป ก็อย่าแปลกใจที่เขาหรือเธอจะแสดงท่าทีที่ไม่น่ารักออกมา – ไม่ใช่เพราะไม่รักเราแล้ว แต่มันเพราะเขาทนไม่ไหว เขาสุดแล้ว และเรานั่นแหละที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ ไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วเขาเป็นโดยไร้สาเหตุ

อันนี้ผมว่าใช้ได้กับหลายเส้นความสัมพันธ์เลยนะครับ ทั้งพ่อกับแม่ พ่อแม่กับลูก หรือเพื่อนกับเพื่อน อย่าด่วนสรุปว่าที่เขาทำอะไรแรงๆ ไป มันคือเขาไม่รักเรา เขาอาจจะยังรัก แต่เราก็ทำให้เขาเขื่อนแตกจนกระแสธารแห่งความไม่พอใจหลั่งไหลท่วมออกมา – ของแบบนี้ ต้องค่อยๆ ปรับความเข้าใจ – และอันนี้ต้องเสริมไว้ว่า ที่ผมบอกอยู่นี่หมายถึงคนที่ปกติรักใคร่กันดี ไม่ได้ทำร้ายร่างกายหรือจิตใจต่อกันแล้ววันหนึ่งทนไม่ไหวจึงทำอะไรไม่ดีออกมา ผมหมายความถึงกลุ่มนี้นะครับ แต่สำหรับประเภทที่ทำร้ายร่างกายคนรักเป็นนิจ ประเภทเอะอะตีเอะอะต่อยแล้วอ้างว่ารักนี่ อันนี้คนละเรื่องกันแล้วนะครับ ต้องแยกแยะด้วย และถ้าเป็นแบบนี้ผมก็ไม่สนับสนุนเหมือนกัน

สรุปนะครับ ผมชอบหนังเรื่องนี้จัง มันครบรสทั้งในแง่ดราม่าที่มีความบันเทิง และสาระด้านความสัมพันธ์ที่มีอะไรให้เก็บไปคิดเยอะอยู่

สองดาวกับสามส่วนสี่ดวงครับ

(7.5/10)