Comedy

Death of a Unicorn (2025) เดธ ออฟ อะ ยูนิคอร์น

เอาจริงๆ เรื่องนี้ก็อยู่ในข่ายหนังแนวสัตว์โลกน่ารักนั่นแหละครับ เพียงแต่พอสร้างโดย A24 มันก็จะมีอะไรเพิ่มมาหน่อย อย่างการจิกกัดนั่นนี่ตามสไตล์

เรื่องของเรื่องคือเอลเลียต (Paul Rudd) กับลูกสาวที่ชื่อริดลี่ย์ (Jenna Ortega) กำลังเดินทางไปตามนัดหมายเรื่องงานของเอลเลียต แต่ระหว่างทางพี่ท่านดันชนยูนิคอร์นครับ และเรื่องหายนะวายป่วงมันก็เริ่มขึ้นแถวๆ นั้นน่ะแหละ

ว่าตามจริงผมนั้นน่าจะอยู่ในฐานะที่หงุดหงิดรำคาญตัวละครในเรื่องนะ เพราะผมเดาได้ตั้งแต่เริ่มน่ะครับว่าต้องทำยังไงถึงจะหยุดหายนะได้ แต่กลายเป็นว่าผมไม่หงุดหงิดเท่าไหร่ มันเหมือนว่าผมยอมรับได้น่ะครับที่ตัวละครทั้งหลายจะไม่มีใครที่รู้เรื่องเกี่ยวกับตำนานเทพนิยาย ว่าควรต้องปฏิบัติกับยูนิคอร์นยังไง – ส่วนหนึ่งอาจเพราะผมตระหนักว่าพวกเทพนิยาย ตำนาน แฟนตาซี หรือปกรณัมทั้งหลายมันมีคนสนใจน้อยลงเรื่อยๆ ตามลำดับ

ส่วนตัวหนังก็อย่างที่บอกครับ มันคือหนังสัตว์โลกน่ารัก พอยูนิคอร์นตัวหนึ่งได้รับอันตราย มันก็จะมีตัวอื่นมาตามหาและอาละวาด ไล่ฆ่าคนจนกว่าจะได้สิ่งที่มันต้องการ ซึ่งในแง่นี้หนังก็ถือว่าเรื่อยๆ ครับ พอดูได้ แต่ยังไม่ถึงกับเจ๋ง ส่วนฉากการฆ่าก็โหดเอาเรื่องเหมือนกัน ประเภทตับไตไส้พุงมากองเงี้ย ก็โหดประมาณหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นแหวะจัดๆ แบบพวกหนัง Saw

ผมมองว่าสิ่งสำคัญเลยที่ประคองหนังเอาไว้คือดาราครับ แต่ละคนถือว่าเล่นได้ถึงบท โดยเฉพาะครอบครัวคนรวยที่ประกอบด้วย Richard E. Grant, Téa Leoni และ Will Poulter แต่ละคนนี่เล่นได้ดีครับ และผมก็ชอบตรงการจิกกัดคนรวยๆ อันที่ชอบสุดคงเป็นตอนที่ครอบครัวนี้พอเห็นยูนิคอร์น พวกพี่แกก็จะผลัดกันพูดประมาณว่า นี่คือการค้นพบนี่มีคุณค่าต่อมนุษยชาติ แต่เราจะไม่ให้องค์กรรัฐมาเกี่ยวข้องเพราะเดี๋ยวมันจะยุ่งยาก (จริงๆ ก็คือกะจะฮุบไว้เองนั่นแหละ) ไหนจะเรื่องอภินิหารของมันที่สามารถรักษาโรคภัยได้ คิดดูสิว่ามันจะช่วยเพื่อนมนุษย์ได้แค่ไหน ช่วยอัพเกรดวงการแพทย์ได้แค่ไหน (จริงๆ ก็คือกะเอามาทำผลิตภัณฑ์และโกยเงินเข้ากระเป๋านั่นแหละ) – บอกเลยครับว่าผมขำและฮาเป็นพักๆ ก็เพราะพฤติการณ์ของครอบครัวนี้นี่แหละ

ส่วน Rudd นี่ ผมชอบเวลาเขาทำหน้าสื่อกับคนดูว่าเขารักลูกแค่ไหนน่ะครับ คือดูแล้วเชื่อจริงๆ ว่าเขารักนะ ส่วน Ortega ก็เหมาะกับบทแบบนี้ครับ บทเด็กสาวที่มีเอกลักษณ์ มีความแปลกแยก แต่ยังภายในของเธอก็ยังคงเป็นเด็กหญิงคนหนึ่งที่ไม่ได้เก่งกาจแข็งแกร่งอย่างที่พยายามแสดงออก โดยอะไรเหล่านี้ให้สังเกตที่แววตาเธอดีๆ ครับ หลายครั้งเลยที่มันจะสื่อถึงความรู้สึกภายในก่อนที่สีหน้าเธอจะแสดงออกมาซะอีก

หนังกำกับโดย Alex Scharfman ที่เพิ่งจับงานกำกับหนังยาวเรื่องนี้เป็นหนแรก ก็เลยพอเข้าใจครับหากอะไรๆ จะยังไม่ลงล็อคลงตัว รวมถึงลีลาที่ยังไม่ค่อยไมาก ไม่ว่าจะในแง่การเล่าเรื่องหรือลูกเล่นระหว่างทาง ส่วนตัวผมมองว่าบทพูดน่ะโอเค ดาราก็โอเค แต่การเล่าการร้อยเรียงมันยังไม่ขับเน้นหนังให้สนุกแบบเต็มๆ สักเท่าไหร่

เอาเป็นว่าถ้าไม่คิดมากก็น่าจะพอไหวอยู่ครับ

สองดาวครับ

(6/10)