Action

Karate Kid: Legends (2025) คาราเต้ คิด: ผนึกพลังตำนานนักสู้

ภาคนี้ผมว่าได้เลยครับ แม้มันอาจจะดูสั้นหรือห้วนไปบ้างในบางวาระ แต่รวมๆ ผมชอบครับ

ตัวเอกคือ หลี่ฟง (Ben Wang) หนุ่มจีนที่ต้องย้ายตามแม่ (Ming-Na Wen) มาอยู่นิวยอร์ค ตอนแรกอะไรๆ ก็ทำท่าจะดีครับ เพราะเขาได้เจอกับสาวน่ารักอย่างมีอา (Sadie Stanley) แต่การพบเธอก็ทำให้เขาต้องเจอกับคู่ปรับอย่างคอเนอร์ (Aramis Knight) แฟนเก่าของมีอาที่เป็นขาโหดและยอดฝีมือคนหนึ่ง ในที่สุดหลี่ก็ต้องสู้กับคอเนอร์ในสนามประลองจนได้ครับ

ก่อนดูภาคนี้ผมย้อนดู The Katate Kid แบบเรียงภาคครับ ก็คือ 4 ภาคต้นฉบับและฉบับปี 2010 ที่ตอนนี้ก็ถูกรวบมาอยู่จักรวาลเดียวกัน (บางคนอาจจะยังไม่นับ แต่ผมนับรวมครับ) และก่อนดูผมก็บอกกับตัวเองครับว่า สไตล์หนังภาคนี้คงมาแนวเดียวกับเส้นเรื่อง Karate Kid และคิดว่ามันน่าจะคนละรสกับ Cobra Kai

อาจเพราะคิดได้ดังนั้นครับ ผมเลยเพลินกับหนังได้เต็มที่ เพราะถ้าพูดตรงๆ เลยคือ Cobra Kai เนี่ยมันจะถึงรส เข้มข้น และเด็ดกว่าในหลายๆ ภาคส่วน ในขณะที่เรื่องนี้มันจะออกแนวหนังสูตรสำเร็จแบบเด็กหนุ่มคนหนึ่งสู้กับเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่ง ทั้งเพื่อเรื่องความรักและศักดิ์ศรี แล้วก็มีความเป็นหนัง Coming of Age เจือลงมาหน่อยๆ ซึ่งถ้าพิจารณาจากแนวทางของมันแล้ว ผมว่าหนังทำออกมาได้ดีอยู่ครับ

หนังถือว่าเล่าเรื่องไว เน้นกระชับ แล้วก็ยาวแค่ชั่วโมงครึ่ง บางอย่างก็เลยอาจยังไม่ถึงอารมณ์หรือดูห้วนไปบ้าง แต่ก็ไม่ทำให้หนังเสียกระบวนครับ มันยังคงดูเพลิน สนุก และน่าติดตาม ซึ่ง Ben Wang ถือว่าเล่นได้โอเค แต่ผมว่าที่หนังมันสนุกนี่ก็เพราะดาราแวดล้อมล้วนเล่นดีและเล่นถึง

ไม่ว่าจะเฮียเฉินหลงในบทอาจารย์ฮัน หรือ Ralph Macchio กับบทแดเนียล แต่คนที่ถือว่าเล่นดีจนผมอยากจะปรบมือให้เลยคือ Stanley เธอสวมบทมีอาได้น่าจดจำมากๆ ครับ ผมชอบแววตาท่าทางที่ดูเป็นธรรมชาติของเธอ ตัวละครนี้คิดอะไรแบบไหนเนี่ยเราจะดูออกได้จากท่าทางเลย อย่างตอนที่เธอพยายามจะปรับความเข้าใจกับหลี่เรื่องคอเนอร์ ท่าทางเธอมันบอกน่ะครับว่าเธออึดอัดจริงๆ แล้วก็แคร์หลี่จริงๆ

อีกคนที่เด่นเกินคาดคือ Joshua Jackson ในบทวิคเตอร์ ลิปานี่ พ่อของมีอา อันนี้สารภาพเลยนะว่าผมไม่รู้ว่าแกเล่นเรื่องนี้จนกระทั่งมาดูหนังเนี่ยแหละ แล้วก็กลายเป็นว่าพี่ท่านเด่นเอาเรื่อง เล่นได้ลื่นมากๆ จนเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่ผมชอบไปเลย

นี่เป็นงานกำกับหนังใหญ่ครั้งแรกของ Jonathan Entwistle ที่ก่อนหน้านี้เขาเคยทำหนังสั้น, ทำ MV และกำกับซีรี่ส์มาก่อน ซึ่งผมว่าแกก็เล่าเรื่องได้ดีนะ ลื่นดีเพลินดี สนุกกำลังเหมาะ ซึ่งผมก็ไม่เถียงครับว่าหนังยังสนุกกว่าที่เป็นได้อีก แต่เท่าที่เป็นอยู่นี่ผมก็ให้คะแนนแดนบวกแล้วล่ะ

ฉากสู้ฉากบู๊ก็ถือว่าเข้าท่า ทำออกมาได้มันส์ดี หรืออย่างฉากไคลแม็กซ์ตอนหลี่ต้องฟัดกับคอเนอร์นั่น ถ้าพูดตรงๆ ผมก็แอบรู้สึกนะว่ากระบวนท่าและการสู้ในฉากนั้นมันดูยังไม่สุดอยู่บ้าง หรืออย่างกระบวนท่าตัดสินนี่ก็ถูกพูดถึงเสียเยอะตอนก่อนหน้า พอถึงเวลาจริงมันเลยไม่ลุ้นแบบเต็มๆ… ไม่รู้สิครับ ผมว่าอย่างภาคแรกหรือภาคปี 2010 ผมยังลุ้นมากกว่านะ – แต่เท่าที่เป็นนี่ก็ไม่ได้แย่ครับ แค่มันดูสูตรและดูเพลย์เซฟไปหน่อยเท่านั้นน่ะ

และสิ่งหนึ่งเลยที่รู้สึกมานานแล้วยามดูหนังของค่าย Columbia (หรือ Sony) คือมันจะต้องมีช็อตที่ภาพคมๆ แสงสวยๆ ใส่ลงมาเรื่อยๆ ผมรู้สึกว่าค่ายนี้จริงจังกับอันนี้มากนะ เหมือนอย่างน้อยไม่ว่าหนังจะดีมากดีน้อยแค่ไหน แต่ฉากสวยๆ ก็น่าจะทำให้คนดูพอใจได้บ้าง อย่างน้อยก็ต้องถูกใจจุดนี้แหละ อะไรประมาณนั้น และดนตรีของ Dominic Lewis ก็นับว่าดีครับ โดยเฉพาะตอน End Credits มันให้อารมณ์เหมือนหนังบู๊ยุค 80 – 90 ดี

สรุปว่าผมสนุกกับหนังครับ แต่ยอมรับว่าดูแล้วมันให้อารมณ์เหมือนเป็นภาคพิเศษ เป็นภาคคั่นเวลา แบบว่าถ้าหนังทำเงินเวิร์คเดี๋ยวจะมีภาคที่อะไรๆ มันดูใหญ่กว่านี้ตามออกมา อันี้ไม่ได้บอกว่ามันไม่ดีนะครับ แต่แค่อยากบอกว่ามันรู้สึกแบบนั้น

สรุปว่าดูได้ครับ สนุกดี

สองดาวครึ่งครับ

(7/10)