
The Karate Kid ถือเป็นหนึ่งในหนังที่ประทับแน่นอยู่ในความทรงจำของผม แม้ว่าผมจะไม่ได้เอาหนังชุดนี้มาดูบ่อยๆ และว่าตามจริงก็ไม่ได้ถึงขนาดชอบสุดๆ แต่มันมี Impact ที่สำคัญประการหนึ่งต่อตัวผม จนผมยังนึกถึงอยู่เป็นระยะๆ ครับ
The Karate Kid ถือเป็นหนึ่งในหนังที่ประทับแน่นอยู่ในความทรงจำของผม แม้ว่าผมจะไม่ได้เอาหนังชุดนี้มาดูบ่อยๆ และว่าตามจริงก็ไม่ได้ถึงขนาดชอบสุดๆ แต่มันมี Impact ที่สำคัญประการหนึ่งต่อตัวผม จนผมยังนึกถึงอยู่เป็นระยะๆ ครับ
ถ้าใครหมายมั่นว่าหนังเรื่องนี้จะออกแนวชีวิตว่าด้วยประวัติของผู้กำกับระดับตำนานอย่าง Alfred Hitchcock แล้วก็ดูด้วยความต้องการอยากรู้จัก Hitchcock อย่างลึกซึ้งมากขึ้น ก็อาจไม่รู้สึกสมหวังนักครับ หลังจากหนังเรื่องนี้จบ
หนังตลกแนวขึ้นโรงขึ้นศาลเรื่องของ 2 หนุ่มบิลลี่ (Ralph Macchio) กับ สแตน (Mitchell Whitfield) ที่โดนจับด้วยข้อหาฆ่าคนตาย ทั้งๆ ที่พวกเขาไม่ได้ทำ งานนี้ก็ไม่รู้จะทำไงล่ะครับ เงินจ้างทนายก็ไม่มี เลยต้องตามญาติของพวกเขามา นั่นคือ วินนี่ (Joe Pesci) ทนายที่เพิ่งสอบเนติฯได้ หลังจากสอบตกมา 6 ปี อืมม์ ….. มันจะรอดกันมั้ยล่ะครับงานนี้
อืมม์ … ตอนผมดูหนังชุดนี้ผมเอามาดูเรียงกัน 3 ตอนรวดเลยนะครับ มันเลยเกิดอารมณ์บางอย่างขึ้นมาตอนผมดูภาคที่ 3 นี้เอง แต่เป็นอารมณ์ไหน เด๋วผมเล่าให้ฟัง
เหตุการณ์หลังจากภาคแรก 6 เดือนครับ ตอนนี้ทั้งแดเนี่ยล (Ralph Macchio) และมิยากิ (Pat Morita) คู่ศิษย์อาจารย์นักคาราเต้ก็มีอันต้องจับเครื่องบินมายังเมืองโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น เพื่อไปพบกับพ่อของมิยากิที่กำลังป่วยหนัก และการกลับมาครั้งนี้ของมิยากิก็ทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับอดีตซึ่งเขาทิ้งไว้เบื้องหลัง
ตอนแรกของหนังชุดนี้ครับ เป็นเรื่องของแดเนียล ลารุสโซ่ (Ralph Macchio) เด็กหนุ่มหน้าใหม่ที่เพิ่งย้ายมายัง แอล.เอ กับแม่ เขาได้ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ๆ พบสาวน้อยน่ารักอย่าง แอลลี่ย์ (Elisabeth Shue) แต่วินาทีที่เขาพบเธอ นั่นก็เป็นวินาทีที่เขาได้พบกับศัตรูคนใหม่