ไวโอเล็ต (Meghann Fahy) แม่ม่ายลูกหนึ่งที่ตัดสินใจลองเดตอีกครั้งกับหนุ่มหล่อนามว่าเฮนรี่ (Brandon Sklenar) ซึ่งอะไรๆ ก็เหมือนจะเป็นไปด้วยดีจนกระทั่งมีใครก็ไม่รู้ส่งข้อความมาที่มือถือของเธอ ตอนแรกก็เหมือนส่งเล่นๆ แต่ไปๆ มาๆ มันเริ่มข่มขู่เธอหนักขึ้นเรื่อยๆ และจุดประสงค์ของมันก็คือต้องการให้เธอวางยาเฮนรี่ซะ ไม่งั้นมันจะจัดการลูกของเธอ
ผมชอบหนังแนวนี้ครับ ประเภทตัวเอกตกอยู่ในสถานการณ์กดดันแล้วก็ต้องหาทางแก้ปัญหาไม่ว่าจะเพื่อเอาตวัรอดหรือช่วยคนอื่นก็ตาม หนังแบบนี้ถ้าทำดีๆ มันจะเป็นอะไรที่สนุกมาก ถ้าให้ยกตัวอย่างหนังแนวนี้ที่เด่นๆ ผมก็จะนึกถึง Nick of Time, Phone Booth แล้วก็ Cellular หรือถ้าซีรี่ส์นี่ 24 ก็จะเด้งขึ้นมาในทันใด แต่ละเรื่องนี่ของเด็ดทั้งนั้นครับ ใครที่ชอบแนวนี้แล้วยังไม่ได้ดูก็ขอแนะนำไว้ตรงนี้เลยแล้วกัน
แล้วเรื่องนี้ล่ะเป็นไง? โดยรวมผมว่าใช้ได้ครับ ก็ถือว่าน่าติดตามในระดับหนึ่ง เพียงแต่ระหว่างดูเนี่ยมันรู้สึกว่าช่วงครึ่งค่อนแรกของหนังมันยังลุ้นได้อีก ยังมีอะไรให้ตื่นเต้นได้อีก ว่าง่ายๆ คือมันยังไม่เด็ดแบบเต็มๆ ครับ แต่ก็รู้สึกน่ะนะครับว่าคนทำก็พยายามแล้วล่ะ เพียงแต่จังหวะการทิ้งปมหรือการสร้างโจทย์ให้นางเอกต้องแก้เกมมันยังไม่สนุกแบบเต็มที่ บางจังหวะก็ออกจะเรื่อยหรือช้าไปนิด พลังของหนังตอนต้นๆ กับกลางๆ เลยยังไม่เต็มเท่าไหร่
แต่อย่างน้อยตอนท้ายหนังก็โกยคะแนนไปได้เยอะครับ ช่วงไคลแม็กซ์นี่ถือว่าทั้งมันส์ทั้งลุ้นเลยล่ะ และออกตัวเลยว่าผมชอบมุก “รถบังคับ” มากๆ อันนี้คือชอบเลย เป็นอะไรที่ช่างคิดจริงๆ
พอมามองย้อนไปผมว่าการที่ช่วงต้นๆ และกลางๆ ที่แม้ผมจะรู้สึกว่ามันยังไม่เต็มที่ แต่ที่ผมยังดูต่อมาได้เรื่อยๆ เนี่ย ต้องขอบคุณองค์ประกอบทั้งหลายที่ช่วยกันพยุงเลยครับ ไม่ว่าจะนักแสดงที่แต่ละคนสวมบทได้เหมาะ ของเด่นอย่างต่อมาคือการกำกับภาพของ Marc Spicer ที่ช่วยทำให้สถานการณ์มันดูเคลื่อนไหว และบางมุมก็เพิ่มความน่าสนใจให้ฉากนั้นๆ ได้อย่างดี ซึ่งเขาคนนี้เคยผ่านงานอย่าง Fast & Furious 7, Lights Out และ Escape Room ทั้ง 2 ภาค มาก่อนครับ ถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะอยู่
และที่แน่ๆ เลยคือนำเสนอภาพร้านอาหารที่ตัวเอกไปนัดพบกันได้สวยเอาเรื่องทีเดียว ซึ่งอันนี้ก็ต้องชมโปรดักชั่น ดีไซเนอร์ Susie Cullen กับฝ่ายกำกับศิลป์ Colman Corish ด้วย – ทั้ง 2 นี้แท็คทีมกันมาจากเรื่อง Abigail ครับ
ส่วนงานดนตรีก็เป็นฝีมือของ Bear McCreary ที่ร่วมงานกับผู้กำกับ Christopher Landon มาตั้งแต่ Happy Death Day แล้ว มาเรื่องนี้ท่วงทำนองดนตรีที่เขาบรรเลงก็เสริมอารมณ์หนังได้เข้าท่า โดยเฉพาะตอนที่ไวโอเล็ตเดินเข้าร้านตอนแรกน่ะครับ ดนตรีมันสื่ออารมณ์กึ่งๆ ไพเราะ กึ่งๆ หลอนได้ดีอยู่
ส่วนผู้กำกับก็คือ Landon นั่นแหละครับ สำหรับงานชิ้นนี้ผมมองว่าสนุกกว่า Paranormal Activity: The Marked Ones แล้วก็อยู่ในระดับใกล้ๆ กับ Scouts Guide to the Zombie Apocalypse, Freaky แล้วก็ Happy Death Day 2 U – แต่ถ้านับเฉพาะฉากไคลแม็กซ์นี่ผมว่าเด็ดกว่าของ 3 เรื่องนั้นครับ – แล้วก็แน่นอนว่าผลงานของนายคนนี้ที่ผมว่าเด็ดสุดก็ยังเป็น Happy Death Day ภาคแรกอยู่ดี แล้วนี่ก็ได้ข่าวว่าเขาจกลับมาทำภาค 3 แล้วด้วย บอกเลยครับว่าอยากดูมากๆ
ก็ถือว่าดูได้เพลินๆ ครับ ขอเพียงไม่ตั้งความหวังมาก และช่วงครึ่งค่อนแรกก็อาจต้องทนบ้างในบางช่วง แต่พอถึงตอนท้ายนี่หนังจบเรื่องได้ระทึกเร้าใจสมกับที่อุตส่าห์ตามดูมาตั้งชั่วโมง – นี่คือสำหรับผมนะครับ แต่สำหรับท่านจะถูกใจไหมก็คงต้องพิสูจน์กัน แต่สำหรับผมนี่ชอบครับ ช่วงท้ายนี่คือชอบเลย
ในแง่รายได้ถือว่ายังไม่ดีแต่ก็ไม่แย่ครับ ทำเงินทั่วโลกไป $28 ล้านเอง ซึ่งผมว่าน้อยไปนะ แต่ก็ยังดีที่ทุนสร้างอยู่ที่ $11 ล้านเลยถือว่าไม่เจ็บหนักอะไร และน่าจะทำกำไรได้ตอนออกฉายตามสตรีมมิ่ง
สองดาวบวกครับ
(6.5/10)
หมวดหมู่:Drama, Movie Reviews, Mystery, Thriller, Whodunnit












