จอมดาบแขนเดียว ฟางกัง (หวังหยู่, Jimmy Wang Yu) ผันตัวมาเป็นชาวนา อาศัยอยู่อย่างสงบกับภรรยานามว่า เสี่ยวหมาน (เจียวเจียว, Chiao Chiao) แต่แล้วยุทธภพก็เกิดภัยครั้งใหม่เมื่อมีพรรคป้าหวังเกิดขึ้น โดยพรรคนี้ได้นัดให้ชาวยุทธมางานชุมนุมดาบเพื่อสรรหาตำแหน่งเจ้ายุทธจักร (ที่จริงๆ พวกนั้นก็อยากจะเป็นเองนั่นแหละ) โดยมันได้ส่งเทียบเชิญไปยังเหล่าจอมยุทธ ถ้าใครไม่มามันก็จะตามไปฆ่า หรือต่อให้มามันก็จะเล่นงานจนปางตายอีกเช่นกัน
เมื่อเรื่องราวถึงจุดวิกฤติ ชาวยุทธก็เลยมาขอร้องให้ฟางกังช่วยออกหน้าไปสู้กับพวกมันหน่อย ซึ่งตอนแรกฟางกังก็พยายามปฏิเสธ แต่พอพวกป้าหวังมาก่อนกวนเขาถึงที่ เขาก็เลยไม่มีทางเลือก ต้องออกไปสู้ตายกับพวกมัน
ดาราในเรื่องถือว่าคับคั่งเลยครับ ไม่ว่าจะประมุขพรรคป้าหวังที่มีกันอยู่ 8 คน อันได้แก่ เทียนเฟิง (Tien Feng) เป็นมารไร้ลักษณ์หลิงซู, กุ๊ฟง (Ku Feng) เป็นจอมพลังเจียวฟง, กังหัว (Tung Li) เป็นมังกรพิษต้วนซั่ว, ถังเจีย (Tang Chia) เป็นกงจักรมารซ่งเหวิน, หยวนเจิ้งหยาน (Yuen Cheung Yan) เป็นโล่ห์บินเติ้งเฟย, หลิวเจียหยง (Liu Chia Yung) เป็นมารดำดินสือฝู่, หลิวเจียเหลียง (Liu Chia Liang) เป็นแขนเหล็กหยวนเชี่ยน และ หลินเจีย (Essie Lin Chia) เป็นมารพันมือฮัวเหนียงจื่อ
รวมด้วย อู๋หม่า (Wu Ma) เป็นทูตดาบขาวกวนซุ่น, Fong Yau เป็นทูตดาบดำกวนเหิง, Ho Pin เป็นเจ้าสำนักดาบเฉาหยาง หลู่หลง, เจิ้งเหล่ย (Cheng Lei) เป็นหลู่ทง, จงหัว (Tsung Hua) เป็นหลู่ต๋า 2 คนนี้เป็นลูกของหลู่หลง และเรายังจะได้เจอ ตี้หลุง (Ti Lung) สมัยหนุ่มละอ่อนมาพร้อมเครื่องแต่งกายโชว์ซิกซ์แพ็คมาเป็นประมุขน้อยสำนักดาบห้าเสือ ลู่หง และ เดวิด เจียง (David Chiang) วัยละอ่อนเหมือนกัน มารับบท อาอิ๋น ที่โดนเล่นคนแรกตอนพรรคป้าหวังบุกมาช่วงท้าย และที่ขาดไม่ได้คือดาราขาประจำแห่งค่าย Shaw Brother หวังชิงเหอ (Wong Ching Ho) มาเป็นท่านลุงที่้ร่วมดื่มฉลองกับทุกคนในตอนท้าย
หนังยังคงเขียนบทและกำกับโดย จางเชอะ (Chang Cheh) หลังจากภาคแรกประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลเลยต้องมีภาคต่อตามมา ซึ่งก็ถือว่าทำออกมาได้ไม่แพ้ภาคแรก แต่อย่างหนึ่งเลยที่ต้องบอกกันไว้ก่อนก็คือเรื่องคิวบู๊ครับ ที่โทนมันจะไม่ได้เน้นกระบวนท่าพลิ้วๆ ไม่ได้เน้นสู้กันยาวๆ นานๆ ซึ่งสารภาพว่าตอนแรกผมก็แอบคาดหวังนะ แต่พอดูไปสักพักก็เริ่มจับทางได้ว่าคิวบู๊ในเรื่องจะเน้นความดุดัน สู้กันแบบถึงเลือด เชือดแบบอวัยวะกระจุย แต่จะไม่ได้มีการวาดลีลาลวดลายกันมากนัก
ส่วนตัวเอกอย่างฟางกังนั้น ความเก่งของเขาในทางหนึ่งอาจเป็นเชิงยุทธซึ่งเราจะได้เห็นตอนที่เขาปะทะกับลาสต์บอสในเรื่อง ฉากนั้นก็สู้กันมันส์ไม่เลว แต่ส่วนใหญ่ด้านที่หนังนำเสนอคือไหวพริบของเขาครับ ประมาณว่าพี่เขาแขนขาด ย่อมสู้ได้ไม่เหมือนคนธรรมดา ต่อให้เก่งยังไงก็อาจเสียเปรียบเพราะคนอื่นมี 2 แขน แต่เขามีแขนเดียว แต่สิ่งที่มาทดแทนแขนที่หายไปคือทักษะในการช่างสังเกต เขาสามารถจับจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้ามได้ และใช้มันมาต่อกรกับคู่ต่อสู้ ก่อนจะสามารถเอาชนะมันได้อย่างเด็ดขาดในเวลาไม่นาน
ในทางหนึ่งก็เหมือนจะสอนเราครับ ว่าการต่อสู้นั้น บางครั้งจะเน้นกระบวนท่ามากไปก็ไม่เหมาะ บางจังหวะต้องเน้นความเร็วในการช่วงชิงโอกาส โดยหากเห็นช่องก็ต้องหาทางลองเผด็จศึก แต่หากปล่อยไปเราก็อาจพลาดโอกาสไปตลอดกาล – บางสิ่งในโลกก็เป็นแบบนั้นครับ
แล้วหนังยังถ่ายทอดความวุ่นวายของยุทธภพได้แบบเห็นภาพ นอกจากการมาของฝ่ายมารที่หวังครองทุกสิ่งด้วยกำลังและความโหดเหี้ยมแล้ว ฝ่ายธรรมะเองก็ใช่จะซื่อตรงเสมอไป อย่างการที่ตัวละครหนึ่งที่เป็นฝ่ายธรรมะ แต่ถึงกับจับเสี่ยวหมานมาบีบบังคับให้ฟางกังคืนสู่ยุทธภพ นี่ก็ชี้ให้เห็นครับว่าคนเรามันมีทุกแบบในทุกวงการนั่นแหละ ไม่ว่าจะพะยี่ห้อธรรมะหรืออธรรม หรือไม่พะยี่ห้อใดๆ ก็ตาม ก็ยังมีทั้งคนดีและคนชั่ว คนตรงและคนคด
หรือช่วงท้ายที่จริงๆ เรื่องมันยังไม่จบ เพราะลาสต์บอสยังอยู่ แต่ชาวยุทธที่ได้ชัยชนะมาก็มัวหลงระเริงจนเกิดความประมาท ทำให้พวกของลาสต์บอสมาก่อการสังหารผู้คนได้ตั้งมากมาย นี่ก็มองได้ว่า ยุทธภพมันปั่นป่วนส่วนหนึ่งอาจเกิดจากคนชั่วก่อการรังควานความสงบ แต่ในอีกทางหนึ่งก็เกิดจากการปล่อยปละละเลย และความประมาทของชาวยุทธ – อย่าว่าแต่ชาวยุทธเลย บางทีฟางกังเองก็ยังประมาทไปเหมือนกัน
ไม่น่าแปลกใจที่สุดท้ายฟางกังก็จะโบกมืออำลา ไม่เอาแล้วยศฐาในยุทธภพ ขอไปสงบตามวิถีทางดีกว่า
และอีกอย่างที่เห็นชัดก็คือ จอมยุทธมากมายยังไงก็ยากจะฝ่าด่านสาวงามได้พ้น เรื่องนี้ก็พึงตระหนักเพื่อระลึกและระวัง ไม่ใช่แค่ชายระวังหญิง แต่หญิงก็ควรระวังชาย หรือเพศใดก็ตามแต่ ควรมีสติเสมอยามคบหาทำความรู้จักกับใคร – สมัยนั้นต้องระวัง สมัยนี้ก็ยังต้องระวังครับ เหมือนทุกวันนี้ที่มีเรื่องหลอกให้รักแล้วตบทรัพย์ มารยาเล่ห์กลแต่เก่าก่อนมันมิได้จางหายไปไหน
ผ่านไปนานแค่ไหน คนก็ยังกระทำต่อคนด้วยกันได้ – ขอพึงระลึกไว้
ถือเป็นภาคต่อที่ดูเข้าชุดกับภาคแรกได้อย่างสบายใจ และเป็นอีกหนึ่งหนังกำลังภายในที่มีความคลาสสิคในตัวเอง
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)












