Action

Ice Road: Vengeance (2025) เหยียบระห่ำ ฝ่านรกเยือกแข็ง: แค้นมิดไมล์

ว่ากันตามความรู้สึกเลยคือ ภาคนี้ไม่มันส์เท่าไหร่ครับ

คราวนี้ ไมค์ แมคคานน์ (Liam Neeson) ไปกาฐมาณฑุเพื่อจะเอาอัฐิของน้องชายไปโปรยที่เขาเอเวอเรสต์ แต่ระหว่างกำลังนั่งรถทัวร์อยู่นั้นดันเจอคนร้ายหมายจะลักพาตัวคน ไมค์เลยต้องร่วมมือกับ ดานี่ ยังเชน (ฟ่านปิงปิง, Fan Bing Bing) ไกด์ของเขาเพื่อจัดการพวกมัน แต่หารู้ไม่ครับว่านั่นน่ะเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น

เอาตามจริงภาคแรกผมก็ไม่ได้ชอบมากนักนะ แต่พอดูภาคนี้แล้วภาคแรกดูดีขึ้นมาเลยครับ อย่างน้อยแอ็คชั่นก็มาเรื่อยๆ หรือระดับความตื่นเต้นก็ยังมาบ่อยกว่าเรื่องนี้ที่บางช่วงก็นิ่งจนผมเองยังสัปหงกเลย

ตอนต้นหนังก็ปูเรื่องโอเคนะครับ คือพระเอกน่ะเรารู้จักอยู่แล้ว ก็เลยมีการเปิดปมให้เรารู้จักผู้ร้ายและรู้แผนของมันว่าจะลักพาตัวใครไปเพื่ออะไร ทีนี้พอหนังเข้าโหมดผู้ร้ายลงมือปุ๊บผมก็นึกว่าการต่อสู้และไล่ล่ามันจะมาเรื่อยๆ ยิงยาวแบบหนังสไตล์ Die Hard ประเภทว่าพระเอกไปอยู่ผิดที่ผิดเวลาเลยต้องออกโรงสู้กับผู้ร้าย แล้วสถานการณ์ก็พาไปให้ต้องสู้บ้างหนีบ้างไปจนจบ

จริงๆ หนังมันก็มาเวย์นั้นนะครับ แต่เหมือนหนังจะทิ้งช่วงฉากไล่ล่าและฉากแอ็คชั่นนานไป อย่างตอนแรกพอสู้กันบนรถปุ๊บก็มีพักแป๊บหนึ่ง ก่อนจะแอ็คชั่นอีกรอบ ตอนแรกก็นึกว่าพระเอกกับผู้ร้ายจะฟัดกันติดพันไปเรื่อย แต่กลายเป็นว่าพอสู้กันในหมู่บ้านแล้ว หนังก็เขียนบทให้พวกผู้ร้ายทิ้งช่วงครับ คือทิ้งห่างพระเอกอยู่นานเลย นานจนแอบงงว่าว่าพวกพี่ทำอะไรกันอยู่เนี่ย

ครั้นพอดูไปสักพักก็ถึงเข้าใจว่าหนังทิ้งช่วงผู้ร้ายเพื่อให้ไมค์ได้มีฉากที่สมกับชื่อหนัง Ice Road คือมีโจทย์ให้ไมค์ต้องขับรถบนถนนน้ำแข็ง แต่ฉากที่ว่ามันไม่ได้ลุ้นไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเลยครับ คือเป็นอะไรที่เฉยจนผิดคาด หรือจริงๆ ไม่ต้องมีก็ได้ฉากนี้ ไปเน้นการไล่ล่าเอาน่าจะมันส์กว่า

แล้วหนังก็ทิ้งช่วงอยู่นานครับ คือกว่าผู้ร้ายจะตามไมค์กับพวกทันนี่ก็ข้ามวันกันเลย โหมดของหนังมันเลยเรื่อยๆ ไม่ได้ลุ้นไม่ได้มันส์อะไร กว่าจะเข้าโหมดลุ้นอีกทีก็ต้องตอนท้ายๆ ตรงฉากที่หน้าผาน่ะครับ ช่วงนั้นค่อยมีอะไรขึ้นมาหน่อย แต่ก็ถ้าพูดถึงความมันส์ก็ต้องถือว่ายังไม่เยอะ และรู้สึกว่าจุดจบของตัวร้ายมันค่อนข้างง่ายครับ บทจะไปก็ไปง่ายๆ โดยเฉพาะตัวร้ายรายใหญ่ที่ดูไม่มีอะไรเลยครับ แต่พอมาคิดอีกแง่ ก็คงเพราะจริงๆ ตัวร้ายไม่ได้เก่งอะไรมากนี่แหละ เลยล่าพระเอกไม่ค่อยทัน กราฟความมันส์ก็เลยไม่ค่อยพุ่ง

แล้วหนังไม่ใช่แค่ไม่มันส์นะครับ แต่หลายอย่างมันแอบขัดใจ อย่างการตัดสินใจของบางตัวละครของฝ่ายพระเอกที่บางอย่างก็ขาดความระมัดระวังและหาเรื่องอันตรายให้ตัวเองกับคนอื่นๆ แท้ๆ หรืออย่างการที่บางตัวละครได้รับบาดเจ็บ ถ้าตามปกตินี่หนังคงเอามาเป็นเงื่อนไขเพิ่มความลุ้น ประมาณว่าต้องหาทางพาคนเจ็บไปรักษาให้ทันอะไรยังงี้ หรือถ้าสุดท้ายตัวละครนี้จะต้องจากไปก็ต้องลากกันสุดทาง ไม่ยอมแพ้ปล่อยให้ตายง่ายๆ แต่กลายเป็นว่าหนังเลือกจะปล่อยให้ตัวละครนั้นโดนทิ้งไว้ให้ตายเฉย อันนี้ค่อนข้างผิดวิสัยจนงงเลยครับ

สิ่งหนึ่งที่รู้สึกคือเหมือนบางช่วงหนังจะลืมไปว่าไมค์เป็นพระเอกน่ะครับ คือเหมือนลืมส่งบทมาให้แกเล่น ความเด่นของไมค์ในภาคนี้เลยไม่เยอะ แต่ถ้าถามว่าใครเด่นนี่ ผมก็ว่าไม่มีใครเด่นเป็นชิ้นเป็นอันครับ คือแต่ละคนก็พอมีพื้นที่บนจอน่ะแหละ แล้วก็มีการให้ตัวละครเล่าชีวิตตัวเองเป็นพักๆ แต่มันไม่ได้ช่วยหนังมากนัก

และการตัดต่อบางฉากก็เหมือนจะหลบๆ น่ะครับ อย่างฉากระเบิดตูมตามบางฉากก็เหมือนจะตัดต่อแบบไวๆ เหมือนจะหลบไม่ให้เราเห็นเปลวไฟจากการระเบิด ก็ไม่รู้ว่าหลบเพราะกลัว CG ไม่เนียนหรือเปล่า ซึ่งในทางหนึ่งมันก็ลดทอนความมันส์ความสะใจของหนังลงไปด้วยเหมือนกัน

แต่อย่างน้อยผมก็ชอบตอนจบน่ะครับ ชอบบทสรุปของไมค์กับการตัดสินใจของเขา อันนี้ผมว่าโอเค เหมาะสมแล้วล่ะ

ที่ตามมาดูนี่ก็เพราะป๋า Liam ที่เคารพของผมเลยครับ แต่บอกตรงๆ ว่าเรื่องนี้ป๋าไม่เด่นเลย – ก็เอาไว้แก้มือเรื่องหน้าครับ

ป๋าเล่นเรื่องไหนผมก็พร้อมตามไปดูอยู่แล้วล่ะ 5555

ดาวครึ่งครับ

(5/10)