Comedy

What a Girl Wants (2003) ว็อต อะ เกิร์ล ว้อนท์ส ปรารถนา… ของสาวหัวใจใสใส

หนังวัยรุ่นผสมอารมณ์ขันที่ยุคนั้นตอนหนังออกฉายนี่รู้สึกว่าหนังแนวนี้มีเยอะนะครับ เยอะจนแอบรู้สึกว่ามันเกร่อเลยล่ะ แตพอมองมาตอนนี้กลับรู้สึกคิดถึงหนังแนวนี้จังเลยแฮะ ของใหม่ๆ ก็ไม่ค่อยมีออกมา ก็ต้องเอาของเก่ามาดูซ้ำน่ะนะครับ (เพราะเรื่องนี้จัดตั้งแต่ตอนเข้าโรงครับ)

เรื่องของเดฟเน่ (Amanda Bynes) สาวน้อยวัยใสที่ไม่รู้ว่าใครคือพ่อของเธอ เธอเลยตามหาจนพบว่าพ่อของเธอนั้นคือท่านลอร์ดเฮนรี่ แดชวู้ด (Colin Firth) ที่อยู่ในลอนดอน ส่วนเหตุผลที่ท่านลอร์ดกับแม่ของเธอ (Kelly Preston) ไม่ได้ครองคู่กันก็เพราะเรื่องชนชั้นนี่แหละครับ

จากนั้นเดฟเน่ก็พยายามเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคุณพ่อผู้แปลกหน้า ซึ่งนอกจากเธอต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมชั้นสูงแล้ว ยังต้องเผชิญกับเหล่าผู้ไม่ประสงค์ดีต่อเธอ นำโดยกลินนิส (Anna Chancellor) หญิงผู้เตรียมจะเข้าพิธีวิวาห์กับเฮนรี่เพื่อหวังเกาะชื่อเสียงไปสู่ความมั่งคั่ง ตามด้วยคลาริสซ่า (Christina Cole) ลูกสาวออกแนวขี้อิจฉาที่หาเรื่องเดฟเน่ได้ทุกวินาที และอลิสแตร์ (Jonathan Pryce) พ่อของกลินนิส

แต่ใช่ว่าเดฟเน่จะได้เจอแต่คนไม่ดีซะเมื่อไหร่ เธอยังได้พบกับเอียน (Oliver James) ชายหนุ่มผู้คอยห่วงใยเธอและจอซลีน (Eileen Atkins) คุณย่าผู้น่ารักของเธอ

ใช่ครับหนังออกแนวน้ำเน่าที่สามารถเดาเรื่องตอนจบได้ไม่ยากเย็นว่ามันต้องจบแบบแฮปปี้แหงมๆ ดังนั้นหนังเลยดูเอาความสนุกได้แบบสบายใจเลยครับ ส่วนต่างๆ ของหนังจัดว่าลงตัวใช้ได้นะ ทีมนักแสดงก็น่าพอใจ อย่าง Bynes นี่ก็น่ารักเหลือแสนครับ แก้มยุ้ยสดใสแบบสุดๆ เรื่องการแสดงก็ผ่านฉลุย ส่วน Firth นี่ก็ไม่เลวครับ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยได้มีโอกาสโชว์ของสักเท่าไหร่ อย่างฉากตอนที่เขาเบือนหน้าหนีไม่อยากมองอัลบั้มรวมรูปวัยเด็กของเดฟเน่นั่นจริงๆ ต้องจัดว่าเยี่ยมนะ แต่ฉากแสดงอารมณ์กลับไม่มาก ส่วนใหญ่จะหนักไปทางฮามากกว่า ซึ่งเรื่องฮานี่ก็ต้องยกนิ้วเลย อย่างฉากหน้ากระจากนั่นเป็นต้นครับ ฉากนี้คารวะเลยว่า Firth แกกล้าบ้าได้ถึงใจขนาดนี้ ตอนดูในโรงนี่ฮากันลั่นครับ

ดาราในเรื่องก็ถือว่าเรื่อยๆ ครับ แต่บทของ Pryce กับ Atkins ดูจะน้อยไปหน่อย ทั้งๆ ที่ 2 คนี้จัดเป็นดารายอดฝีมือ โดยเฉพาะ Pryce นี่บทบาทน้อยจนแอบงงเลย

ผมไม่แปลกใจหากใครๆ จะมองว่าหนังน้ำเน่า แต่ขณะเดียวกันหนังก็มีแง่คิดดีๆ แฝงอยู่ไม่น้อย อย่างแรกก็เรื่องเดิมๆ ที่แสนคุ้นเคย นั่นคือช่องว่างระหว่างเเด็กกับผู้ใหญ่ ซึ่งหนังก็สื่อตรงๆ ครับว่าเรื่องช่องว่างระหว่างวัยนั้น ควรแก้ไขด้วยการหันหน้าและปรับเข้าหากัน รวมถึงต้องเปิดใจรับฟังกันและกันด้วย – หากต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายเข้าหา จนสุดท้ายไม่มีใครเข้าหาก่อนเลย อีแบบนี้เรื่องก็คงยากจะจบลงด้วยดีได้

อีกส่วนที่ดูแล้วชวนให้คิดคือประเด็น “ความใสของเด็ก VS ความเคร่งขรึมเปี่ยมหลักการในโลกของผู้ใหญ่” ก็เข้าใจล่ะครับว่าโลกนี้มันก็มีพิธีกรรมพิธีการของมัน มีหลักการให้ยึดถือ มีเส้นทางให้ต้องเดิน ในขณะที่เด็กเองก็มีความสดใสในแบบของพวกเขา บางอย่างอาจไม่เข้าเกณฑ์เหมาะสมในสายตาของผู้ใหญ่ แต่ที่เด็กทำไปนั้นก็แค่ความซื่อและจริงใจน่ะครับ ของแบบนี้ก็เป็นอีกอย่างที่ต้องหาจุดกึ่งกลาง ต้องหาทางปรับเข้าหากัน หรือไม่ก็ต้องมีวิธีบอกที่ละมุนละม่อมพอเหมาะพอสม ไม่ใช่ตีตราฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในทันทีว่าทำแบบนี้ไม่ได้ ทำแบบนั้นไม่ใช่ แล้วกลายเป็นเรื่องให้กินแหนงแคลงใจกันซะดื้อๆ

ของแบบนี้มันขัดแย้งกันได้แหละครับ มันเป็นเรื่องธรรมดาตามประสาชีวิตมนุษย์ แต่หากทำได้ก็ชวนกันบรรเทาให้เรื่องเหล่านี้มันลดลง ให้ปัญหามันลดขนาดลง – ดีกว่าปล่อยไว้ให้รอยปริแตกมันแยกจากกันต่อไป

ผมชอบบทสรุปของเรื่องนะ ไม่เถียงว่ามันออกจะตามสูตรอยู่บ้างเกี่ยวกับการตัดสินใจของท่านลอร์ดเฮนรี่ แต่ผมว่ามันสมเหตุผลนะ ก็ในเมื่อก่อนหน้านั้นลูก (เดฟเน่) ก็ทำเพื่อพ่อได้ตั้งหลายอย่าง ดังนั้นถ้าพ่อจะทำเพื่อลูกบ้าง มันก็คงไม่แปลกอะไร

โดยรวมหนังประสบความสำเร็จในการตอบสนองด้านบันเทิงครับ ดูไปก็ฮาไป สดใส น่ารัก และมีอะไรให้ลองเก็บไปคิด ส่วนเรื่องเชิงดราม่าหนังก็อาจไม่เน้นมากนัก ในใจก็แอบคิดล่ะครับว่าถ้าหนังเพิ่มบทพูดดีๆ ให้เฮนรี่หรือเดฟเน่พูดระบายอารมณ์ยาวๆ สักรอบหนึ่ง หนังน่าจะสมบูรณ์ขึ้น แต่ก็เอาเถอะครับ เท่าที่เป็นนี่ผู้กำกับ Dennie Gordon ก็ถือว่าทำหนังได้โอเคในระดับหนึ่ง และตอบโจทย์เบื้องต้นได้สำเร็จ – นั่นคือ ดูแล้วรู้สึกสนุกน่ะครับ

และอีกอย่างที่ถือเป็นของดีก็คือ เพลงครับ เพลงดีๆ ใส่ลงมาตลอดเรื่อง ช่วยเพิ่มอารมณ์บันเทิงให้หนังได้อีกพอสมควร

สรุปว่าเป็นหนังวัยรุ่นที่ดูสนุกครับ ชอบแนวนี้นี่อยากให้ลองกันสักครั้ง ส่วนในแง่รายได้นั้นถือว่าพอเท่าทุนครับ ลงทุน $25 ล้าน ได้คืนมา $50 ล้านจากทั่วโลก

สองดาวกว่าๆ ครับ

(6.5/10)