Action

เดชคัมภีร์เทวดา (1990) Swordsman

นี่คือหนังที่ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของวงการหนังกำลังภายในฮ่องกงครับ เพราะทำออกมาดี ดูสนุก และยังปลุกกระแสทั้งหนังจอมยุทธและหนังฮ่องกงให้ดังกระหึ่มไปทั่ว (บอกก่อนว่าชื่อตัวละครในบทความนี้ ผมอิงมาจากพากย์ไทยต้นฉบับสมัยฉายโรงนะครับ)

เรื่องราวเกิดในปีว่านหลี่ ราชวงศ์หมิง เมื่อขุนนางนามว่า หลินเจิ้นหนาน (Chin Shan) มาชิงคัมภีร์รัศมีตะวันไปจากวังหลวง ทำให้ชางกงกง (หลิวชุน, Lau Shun) และคนสนิทอย่างโอวหยางฉวน (จางเซี๊ยะโหย่ว, Jacky Cheung) ต้องออกจากวังไปติดตามเอาคัมภีร์กลับมา

ในขณะที่ชางกงกงนำกำลังโอบล้อมเพื่อเตรียมจับหลินเจิ้นหนาน หลิ่งหูชง (สวี่กว้านเจี๋ย, Samuel Hui) และเยี่ยหลิงซาน (เยี่ยถง, Cecilia Yip) จากสำนักหัวซานก็ฝ่าวงล้อมเข้าไปพร้อมนำเอาสาส์นจาก เยี่ยปุ๊ฉุน (หลิวเส้าหมิง, Lau Siu Ming) อาจารย์ของพวกเขาไปบอกต่อให้หลินเจิ้นหนานทราบ โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยครับว่ากำลังนำพาตัวเองเข้าไปพัวพันกับเรื่องวุ่นวายขนานใหย่เข้าให้แล้ว

สิ่งแรกที่ต้องบอกเลยคือหนังถูกยำเนื้อเรื่องแบบมโหฬารครับ เหมือนเอามาแค่โครงกับชื่อตัวละคร นอกนั้นใส่กันเองใหม่เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นถ้าใครคาดหวังจะได้ดูอะไรที่มีเนื้อหาตรงกับนิยายก็คงต้องทำใจ ส่วนผมนั้นดูไปก็มีบ้างที่แอบรู้สึกว่า “เล่นอย่างนี้เลยหรือเพ่” แต่พอดูไปสักพัก พอปรับตัวได้มันก็โอเคและพอจะสนุกกับเรื่องราวไปได้อยู่

จุดสนุกของเรื่องอย่างแรกต้องยกให้สารพัดคิวบู๊ดูมันส์ที่หนังเสิร์ฟลงมาเรื่อยๆ บางฉากก็ผสมผสานระหว่างเทคนิคพิเศษกับลีลาบู๊แบบเดิมๆ ได้เข้าท่าอยู่ หรือบางฉากก็ให้อารมณ์อลังการ อย่างฉากตอนท้ายที่ชางกงกงออกฤทธิ์นั่นเป็นต้น ซึ่งก็ต้องยอมรับครับว่าพวกเทคนิคเหล่านี้ฉีเคอะและทีมงานถือว่าเป็นจอมอยู่แล้วสำหรับยุคนั้น

ตามด้วยเหล่าดาราที่ถือว่าเล่นกันได้น่าจดจำ นอกจากที่กล่าวไปแล้วก็ยังมี หยวนหัว (Yuen Wah) ในบทจั่วเหลิ่งเจี้ยน ชาวยุทธที่หันไปรับใช้กงกงเพื่อผลประโยชน์ของตน, หยวนเจี๋ยอิง (Fennie Yuen) มาเป็นหลันฟ่งหวง, จางเหมี่ยน (Cheung Man) มาเป็นเยิ่นอิ๋งอิ๋ง ธิดาเทพแห่งพรรคสุริยันจันทรา, อู๋หม่า (Wu Ma) และ หลินเจิ้นอิง (Lam Ching Ying) มาเป็นสหายที่อยู่ต่างฝ่าย แต่มีใจรักในดนตรีเหมือนกัน และ ฮั่นอิงเจี๊ยะ (Han Ying Chieh) มารับเชิญเป็น ฟงชิงหยาง ปรมาจารย์แห่งหัวซาน ซึ่งนี่ยังเป็นการแสดงครั้งสุดท้ายของเขาด้วยครับ

ดาราถือว่าดี ฉากต่อสู้ถือว่าน่าจดจำ เทคนิคพิเศษก็จัดว่าเวิร์ค (และสำหรับยุคนั้นคงต้องใช้คำว่า “ว้าว”) ซึ่งเสน่ห์อย่างหนึ่งของหนังยุคก่อนคือของประกอบฉากหรือเทคนิคต่างๆ จะออกแนวทำมือครับ ในแง่หนึ่งมันอาจไม่เนียน แต่ด้วยความที่มันถูกสร้างจากของจริง มันเลยให้อารมณ์ “จริง” แบบที่เทคนิค CG สมัยใหม่บางครั้งก็ทำได้ไม่เสมอเหมือน

หรือบางฉากก็เล่นจริงซะจนต้องคารวะ อย่างตอนที่จั่วเหลิ่งเจี้ยนโดนผึ้งรุมนั่น มันดูสมจริงจนคนไม่ถูกกับผึ้งหรือแมลงอาจจะขนลุกเอาได้ง่ายๆ

และแน่นอนว่าอีกหนึ่งของดีคือดนตรีครับ โดยเฉพาะบทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักรที่โคตรจะเพราะ โคตรจะอมตะ โคตรจะคลาสสิค ยิ่งเนื้อหายิ่งน่านำมาพินิจพิจารณา ซึ่งมีคนทำคลิปแปลเพลงเอาไว้หลายท่าน ใครอยากทราบความหมาย แนะนำให้ลองไปหาดูกันครับ

แต่ทีนี้ก็มีสิ่งหนึ่งครับที่ติดใจผมทุกรอบที่ดู นั่นคือตรงการเดินเรื่องที่บางช่วงก็ดูกระท่อนกระแท่น บางช่วงบางอย่างก็ดูโดดๆ บางจังหวะก็ดูไปค่อยเป็นเนื้อเดียวกันสักเท่าไร ซึ่งจุดนี้ก็ยอมรับครับว่ามันมีผลทำให้ผมรู้สึกสนุกกับหนังเรื่องนี้ได้ยังไม่สุดนัก ซึ่งการที่หนังมันออกมาแบบที่เป็น ก็มีเหตุผลรองรับอยู่

แรกเริ่มเดิมทีหนังเรื่องนี้จะกำกับโดย หูจินเฉวียน (King Hu) ผู้กำกับรุ่นเก๋าของวงการ เจ้าของงานคลาสสิคอย่าง Dragon Inn ปี 1967 และ A Touch of Zen แต่ทีนี้ระหว่างการถ่ายทำเขากับฉีเคอะที่กินตำแหน่งผู้สร้างก็เกิดความขัดแย้งกัน จนกระทั่งถึงจุดที่หูจินเฉวียนตัดสินใจเป็นฝ่ายออกจากกอง แต่ทีนี้หนังยังถ่ายไม่เสร็จครับ เลยทำให้ฉีเคอะและทีมงานต้องมาจัดการสานต่อหนังให้เสร็จ ซึ่งกล่าวกันว่าคนที่ลงมือสานต่อในงานกำกับ หลักๆ แล้วคือ เฉิงเสี่ยวตง (Ching Siu Tung) โดยมี Raymond Lee และ ฉีเคอะ (Tsui Hark) คอยช่วยและกำกับเพิ่มในบางฉาก

และยังมีข่าวออกมาว่า สวี่อันหัว (Ann Hui) และ Kam Yeung Wah ก็โดดเข้ามาร่วมช่วยถ่ายทำด้วย – ถ้านับไปนับมาก็เป็นว่าหนังเรื่องนี้เป็นผลงานร่วมกันของผู้กำกับ 6 ท่านเลยทีเดียว – ตอนแรกที่ดูก็รู้สึกตะหงิดๆ อยู่ครับ แต่พอเข้าใจเบื้องหลังก็เลยเข้าใจหนังมากขึ้น และเข้าใจได้ในความกระท่อนกระแท่นที่เกิดขึ้น

แต่อย่างไรแล้วแก่นสำคัญของหนังก็ยังอยู่ครับ นั่นคือการสะท้อนให้เห็นถึงความวุ่นวายในยุทธภพที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งแข่งขัน และประเด็นที่ขาดไม่ได้สำหรับหนังชุดนี้คือเรื่องของวิญญูชนจอมปลอม ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง สร้างภาพตนเองให้ดูดี แต่แท้จริงแล้วกลับแอบแฝงใจที่คิดคดไม่ซื่อตรงไว้ภายใน บางคนก็พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อแลกมาซึ่งความเป็นใหญ่

ประเด็นขาประจำอีกอย่างก็คือ “มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่เจ้าหนุ่มนั้นจะครอบครองคัมภีร์บทเพลงที่ว่าด้วยการหัวเราะเยาะหยันยุทธจักร… สิ่งที่มันครองจะต้องเป็นคัมภีร์ที่คนทั้งยุทธภพตามหาเป็นแน่” – การที่เราคิดว่าคนอื่นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มันอาจสะท้อนสิ่งที่คนอื่นเป็นได้ส่วนหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่มันจะสะท้อนสิ่งที่เราเป็น เข้าอีหรอบที่ว่า “เมื่อชี้นิ้วใส่คนอื่น มันจะมี 1 นิ้วที่ชี้ใส่เขา และมีจำนวนนิ้วที่มากกว่าชี้กลับมาหาตัวเรา”

ถ้ารู้เท่าทันตรงนี้ ก็จะรู้เท่าทันตัวเราได้ดีขึ้น

ตัวหนังจัดว่าประสบความสำเร็จอย่างดีครับ ทำเงินไปราว 16 ล้านเหรียญฮ่องกง อย่างที่บอกไปว่าเรื่องนี้กลายเป็นอีกหนึ่งหมุดไมล์สำคัญแห่งยุคหนังฮ่องกงเฟื่องฟู

ไม่รับประกันว่าท่านจะชอบหนังเรื่องนี้ แต่หากท่านเป็นคอหนังจีนกำลังภายใน ก็อยากให้ได้ลองลิ้มกันสักครั้งครา

สองดาวครึ่งครับ

(7/10)