Action

Killer Elite (2011) 3 โหดโคตรพันธุ์ดุ

แดนนี่ ไบรซ์ (Jason Statham) คือมือสังหารที่ล้างมือจากวงการไปแล้ว แต่เมื่อฮันเตอร์ (Robert De Niro) ผู้เป็นเหมือนอาจารย์ของเขาโดนจับไป เขาเลยต้องโดดลงสนามอีกครั้ง โดยคนที่จับฮันเตอร์ไปได้ยื่นข้อเสนอว่า แดนนี่ต้องไปสังหารคน 3 คนให้สำเร็จ แล้วจากนั้นเขาก็จะปล่อยฮันเตอร์ไป

หน้าหนังออกแนวแอ็คชั่น และตัวหนังเองจริงๆ ก็เป็นแอ็คชั่นนั่นแหละครับ เพียงแต่ปริมาณการลุยสู้ฟัดของพี่ Jason อาจไม่ได้เยอะเท่าเรื่องอื่นๆ – ที่แน่ๆ คือน้อยกว่า The Transporter – เพราะหนังดูจะเน้นไปที่การวางแผน แล้วก็ปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร เพราะในเรื่องนี่แดนนี่ไม่ได้ลุยคนเดียวครับ แต่มีทีมของเขาด้วย ดังนั้นใครคาดหวังจะดูหนังแบบเดี่ยวท้าลุยตามสไตล์พี่ Jason ล่ะก็ เรื่องนี้อาจไม่ตรงโจทย์นั้นนักครับ

แต่ผมชอบนะ คืออาจไม่เน้นแอ็คชั่นมากมาย แต่การเดินเรื่องมันชวนติดตาม มันชวนให้อยากรู้ว่าเรื่องมันจะไปทางไหนต่อ หรือการวางแผนเพื่อสังหารเป้าหมายแต่ละรายนั้นมันจะเป็นไปตามแผนไหม มันจะมีผิดแผนไหม แล้วพอผิดแผนแล้วแดนนี่จะแก้อย่างไร ซึ่งหนังก็เล่าส่วนตรงนี้ได้ไม่เลวครับ ค่อนข้างกระชับ แต่อาจจะไม่ฉับไวแบบเต็มๆ คือมีช้าบ้างในบางวาระ แต่ก็ไม่ได้มากจนบั่นทอนความสนุกครับ

ดาราในเรื่องถือว่าเลือกมาได้เหมาะ พี่ Jason กับบทแบบนี้นี่นอนมาอยู่แล้ว ส่วน De Niro ก็ดูแล้วเชื่อครับว่าป๋าแกเป็นนักฆ่ามือตำนาน ที่สำคัญที่สุดคือดูแล้วเชื่อว่าป๋าคนนี้มีกึ๋นมีวิชามากพอที่จะเป็นอาจารย์ของแดนนี่ได้ ผมชอบฉากตอนท้ายๆ ที่ป๋าๆได้แสดงฝีมือน่ะครับ ดูแล้วจะเก็ทเลยว่ารายนี้เก๋าเกมแค่ไหน

ส่วน Owen ก็ถือว่าเหมาะกับบทสไปค์ที่มีหน้าที่ไล่จับแดนนี่ แต่ไม่รู้ทำไมนะครับ ผมรู้สึกว่าบทนี้มันกั๊กๆ คือเหมือนจะเด่นแต่ก็ยังไม่เด่นเต็มที่ แต่จะบอกว่าไม่เด่นเลยก็ไม่ใช่ เพราะช่วงที่ต้องเข้าฉากปะทะกับพี่ Jason และ De Niro นั้น เขาก็ดูมีบารมีมากพอจะสู้รัศมี 2 คนนั้นได้ แต่ก็นั่นล่ะครับ คือมันเหมือนจะเด่นได้อีกน่ะ

Dominic Purcell กับ Yvonne Strahovski 2 คนนี้เอาเข้าจริงๆ บทไม่ได้เยอะ แต่พอถึงเวลาได้ขึ้นจอพวกเขาก็จะสามารถขโมยซีนไปได้เป็นพักๆ

ความสนุกของหนัง สำหรับผมแล้วนอกจากการเดินเรื่องที่ค่อนข้างน่าติดตาม ก็ต้องยกให้เรื่องปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวละครนี่แหละครับ ผมว่ามันเพิ่มรสชาติและความน่าสนใจให้หนังได้ไม่เลวนะ – แต่ในใจก็อยากให้หนังมันมันส์เต็มสูบมากกว่านี้อีกหน่อยเหมือนกันครับ โดยเฉพาะฉากฟัดฉากสู้นี่ ถ้ามากกว่านี้อีกหน่อยก็คงแจ๋วเลย

หนังกำกับโดย Gary McKendry ที่จนบัดนี้ (ปี พ.ศ. 2568) นี่ก็ยังเป็นผลงานหนังยาวเรื่องเดียวของเขาอยู่ครับ ซึ่งก็ถือว่าพอเข้าใจได้ เพราะความเข้าท่าของหนังดูจะมาจากบทและนักแสดงมากกว่า ส่วนลีลาการเล่าเรื่องของเขานั้นดูจะยังไม่เจอลายเซ็นต์ที่เด่นชัดอะไร – อีกอย่างคือหนังล่มครับ ทำเงินทั่วโลกไป $57 ล้าน แต่ทุนสร้างน่ะ $70 ล้านครับ เรียกว่าขาดทุนชัดเจน จนคงจะส่งผลต่อผู้กำกับเหมือนกัน

เอาเป็นว่าแฟนๆ ของพี่ Jason หรือ De Niro ก็ตามมาดูกันได้ครับ

สองดาวครึ่งครับ

(7/10)