เมื่อซันนี่ ฟอน บิวโลว์ (Glenn Close) สาวชั้นสูงผู้มั่งคั่งป่วยหนักจนโคม่า บรรดาลูกๆ ของเธอก็สงสัยว่า เคลาส์ (Jeremy Irons) สามีใหม่ของซันนี่อาจเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ เพราะหากซันนี่ตาย เคลาส์ก็จะได้รับมรดกมูลค่า $14 ล้านเหรียญ
ในเบื้องต้นศาลได้ตัดสินว่าเคลาส์มีความผิด แต่กระนั้นเคลาส์ก็ไม่ยอมแพ้ครับ เขาได้ติดต่อศาสตราจารย์ด้านกฎหมาย อลัน เดอร์ชวิทช์ (Ron Silver) ให้ช่วยพลิกคดี แน่นอนว่าตอนแรกอลันก็สองจิตสองใจ แต่เมื่อเขาพิจารณารายละเอียดของคดีอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาก็พบว่าคดีนี้น่าสนใจและท้าทาย เลยฟอร์มทีมขึ้นมาและการอุทธรณ์แก้ต่างให้กับเคลาส์ก็เริ่มต้น
ถือเป็นหนังที่ผสมความเป็นดราม่าและสืบสวนเข้าด้วยกันอย่างลงตัวมากๆ ครับ ของดีอย่างแรกต้องยกให้การแสดงของเหล่าดาราทั้งที่แสดงนำและแสดงสมทบ แต่ละคนล้วนมีส่วนทำให้หนังดูมีพลัง แน่นอนว่าคนที่พลังเยอะสุดต้องยกให้ Irons ที่คว้าออสการ์ไปได้จากบทนี้ ยอมรับเลยครับว่าเขาแสดงเป็นเคลาส์ ฟอน บิวโลว์ได้อย่างยอดเยี่ยม เขาดูมีพลัง มีความเด่น มีคาแรคเตอร์ที่น่าค้นหา คือดูแล้วเราก็จะสงสัยแบบสองจิตสองใจครับ ว่าตกลงเขาทำไหม บางทีเขาก็ดูเหมือนจะเป็นผู้บริสุทธิ์จริงๆ แต่บางทีก็ดูมีเลศนัยยังไงพิกล – สำหรับผมแล้ว ตัวละครนี้ถือเป็นหนึ่งในตัวละครที่น่าค้นหาและมีมิติซับซ้อนที่สุดคนหนึ่งในโลกภาพยนตร์เลยล่ะ
ส่วน Close ก็แสดงอารมณ์ออกมาได้ดีเช่นกัน เช่นเดียวกับ Silver ที่ถ่ายทอดบทของอลันออกมาได้อย่างมีชีวิตชีวา เขาดูเป็นนักกฎหมายที่กระตือรือร้น ฉลาดมีไหวพริบ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นมนุษย์ปุถุชนที่อาจจะมีพลาดบ้างอะไรบ้าง – บอกเลยครับว่าแค่ดารา 3 ท่านนี้ก็ทำให้หนังชวนติดตามอย่างยิ่งแล้วล่ะ
ในแง่ของบทก็ถือว่าน่าสนใจครับ โดยเรื่องราวที่เราเห็นในหนังนี้อิงจากเรื่องจริงนะครับ ไม่ว่าจะเคลาส์, ซันนี่ หรืออลันนี่ต่างก็มีตัวตนจริงๆ และนี่คือคดีที่โด่งดังมากๆ คดีหนึ่ง ซึ่งผมชอบที่หนังมีความน่าติดตามที่ตัวเนื้อหา ไม่ว่าจะเรื่องเกี่ยวกับคดีที่ดูมีปมให้เราตามไปไข มีการพลิกผันทางหลักฐานอยู่ตลอด และอีกส่วนที่น่าสนใจคือตัวตนของเคลาส์ที่หนังจะค่อยๆ เผยสิ่งที่เขาเป็น (หรืออาจไม่ได้เป็น) ให้เราสัมผัสตัวเขาเป็นพักๆ แต่จะเป็นตัวจริงจริงๆ หรือไม่ หรือแค่เขาเสแสร้งเก่ง อันนี้ท่านต้องลองไปพิสูจน์เองครับ บอกได้แค่ว่าบทก็ดี การแสดงของ Irons ก็เข้ม เลยทำให้หนังน่าติดตามแบบสุดๆ
หนังมีพลังทุกช่วงครับ ช่วงที่ Irons ปรากฏตัวก็จะมีพลังจาก Irons – พอถึงช่วงที่ไม่มี Irons ความน่าสนใจก็จะไปอยู่กับ Silver และการถกกันเรื่องประเด็นต่างๆ ซึ่งน่าติดตามทั้งในประเด็นแง่มุมทางกฎหมายและการสืบสวนตามล่าหาความจริง ว่าตกลงเคลาส์ฆ่าภรรยาจริงไหม
และผมว่าใครที่จะเป็นนักกฎหมายนี่ ท่านต้องดูเรื่องนี้เลยครับ เพราะหนังกระเทาะมิติของนักกฎหมายออกมาให้เราได้รับรู้รับชมแบบเห็นภาพ ไม่ว่าจะวิธีคิด วิธีมอง วิธีพิจารณา การชั่งน้ำหนักในประเด็นต่างๆ หรือการแก้ต่างที่ต้องเอาหลักกฎหมายมายันกัน จะใช้แต่อารมณ์หรือความรู้สึกเพียงอย่างเดียวไม่ได้
ผมชอบเหตุผลของอลันในการรับทำคดีนี้ครับ ซึ่งเหตุผลใหญ่ไม่ใช่เรื่องเงิน แต่อย่างแรกคือเขามองไปที่พื้นฐานของระบบกฎหมาย นั่นคือทุกคนมีสิทธิ์ที่จะแก้ต่าง ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมีทนาย ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับที่ว่าเคลาส์ผิดจริงหรือไม่ นั่นอยู่ที่กระบวนการสืบสวน แต่โดยพื้นฐาน เคลาส์มีสิทธิ์ที่จะมีทนายในศาลและเคลาส์เลือกอลัน
ในช่วงต้นของการฟอร์มทีม มินนี่ (Felicity Huffman) ลูกศิษย์คนหนึ่งของอลันที่ไม่อยากให้อลันรับคดีเพราะเธอเชื่อว่าเคลาส์ผิดจริง เธอเลยถามอลันว่า “แล้วทำไมถึงต้องเป็นคุณ?” อลันเลยเผยความคิดและความรู้สึกเพิ่มในอีกประเด็น ว่าที่เขารับทำคดีนี้ก็เพราะว่าเขานั้น “โกรธสุดๆ”… โกรธอะไรน่ะหรือครับ?
อลันบอกว่า “ผมโกรธที่ครอบครัวฟอน บิวโลว์ (พวกลูกๆ ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเคลาส์) จ้างอัยการส่วนตัว ทำการสืบแบบส่วนตัว ซึ่งถ้าเราปล่อยให้พวกเขาทำแบบนั้น พวกคนรวยก็จะไม่ไปแจ้งตำรวจกันแล้ว แต่พวกเขาจะให้ทนายส่วนตัวไปเก็บหลักฐานมา แล้วก็เลือกเฉพาะหลักฐานบางอันส่งไปให้อัยการ และลองคิดดูว่าถ้าเหยื่อรายต่อไปไม่ได้รวยแบบพวกวอน บิวโลว์ แต่เป็นคนจนที่ไม่มีเงินจ้างทนาย อะไรจะเกิดขึ้นได้บ้าง?”
ในความหมายของอลันก็คือ แม้คดีนี้หลายฝ่ายจะคิดว่าเคลาส์ผิดอยู่โต้งๆ แต่เอาเข้าจริงอีกฝ่ายที่ฟ้องเคลาส์ก็ใช่ว่าจะโปร่งใส ดังนั้นถ้าอลันไม่รับทำคดี และสุดท้ายเคลาส์ไม่เหลือทนายเลย แล้วแบบนั้นระบบยุติธรรมจะดำเนินไปยังไง?
ฟังดูเป็นแนวคิดอุดมคตินะครับ เราอาจจะมองว่านี่คือข้ออ้างที่อลันแก้ต่างให้ตัวเองโดยใช้คำธิบายอย่างสวยหรู เขาอาจหวังแค่เงิน นั่นก็เป็นได้ แต่ Silver ก็สามารถถ่ายทอดบทบาทจนผมเชื่อน่ะครับ เชื่อว่าอลันคิดแบบนั้นจริงๆ และบทหนังในช่วงต่อๆ มาก็ทำให้เรารู้สึกแบบนั้นด้วย
เนี่ยครับ หนังชวนติดตาม มีประเด็นชวนให้คิดต่อยอด และของดีอีกหนึ่งอย่างต้องยกให้ดนตรีของ Mark Isham ที่จับใจตั้งแต่ตอนเปิดเรื่อง คือฟังแล้วสัมผัสได้ถึงความสวยงาม ดูเริดหรู แต่แฝงไว้ด้วยความลึกลับและความเปราะบางบางอย่าง
ส่วนตัวแล้ว ผมยกให้นี่เป็นผลงานที่เด็ดที่สุดของผู้กำกับ Barbet Schroeder เพราะมันถึงเครื่องในทุกภาคส่วน ทั้งบท ทั้งการเดินเรื่อง ทั้งการแสดง ทั้งองค์ประกอบอื่นๆ ไม่ว่าจะงานฉาก ดนตรี หรืองานถ่ายภาพดีๆ โดย Luciano Tovoli แห่ง Suspiria และ Tenebre
สามดาวเต็มครับ
(8/10)
หมวดหมู่:Biography, Drama, Highly Recommended Movies, Movie Reviews, Mystery












