ตอนแรกอยากดูเพราะพี่ Sylvester Stallone แสดงนำครับ แต่พอมารู้ว่าซีรี่ส์สร้างสรรค์โดย Taylor Sheridan เจ้าของบทหนังเข้มๆ อย่าง Sicario, Hell or High Water และ Wind River แล้ว กราฟความสนใจเลยพุ่งขึ้นไปอีก
เรื่องของนักเลงรุ่นเก๋า ดไวท์ แมนเฟรดี้ (Stallone) ที่ติดคุกอยู่ 25 ปีแล้วเพิ่งได้ออกมา เขาก็คาดหวังว่าแก๊งของเขาน่าจะตอบแทนความซื่อสัตย์ของเขาบ้าง แต่กลายเป็นว่าคนในแก๊งรุ่นใหม่กลับไม่ค่อยเห็นหัวและอยากส่งเขาออกไปให้ไกลๆ เขาเลยต้องไปอยู่ที่ทัลซ่าแบบไม่เต็มใจนัก
แต่แม้จะไปยังต่างถิ่นและร้างวงการมานาน ทว่าความเก๋าของเขาก็ยังมี ดไวท์เลยเริ่มสร้างอาณาจักของตนเองขึ้นมา จนทำให้มีเรื่องกับแก๊งเจ้าถิ่น และการปะทะกันก็เลยเป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยง
ดูเพลินดีครับ คือจริงๆ มันออกแนวหนังอาชญากรรมสไตล์เจ้าพ่อนั่นแหละ แต่โทนมันไม่หนักเกิน มันเป็นการผสมกันระหว่างความเป็นหนังเจ้าพ่อและหนังเสียดสีจิกกัดแบบแสบๆ คันๆ มีอารมณ์ขันสอดแทรกลงมาเป็นพักๆ แต่กระนั้นก็มีความโหดอยู่พอตัวครับ ซึ่งผมว่าหนังออกมากลมกล่อมอยู่นะ มันคือการยำกันพอที่พอเหมาะพอดี อาจไม่ถึงขั้นเด็ดสุดๆ แต่ก็ถือได้ว่าดูสนุกและชวนติดตาม
Stallone ถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะครับ ผมกับภรรยายังนั่งคุยกันเลยว่าคนที่จะมาเล่นบทนำแบบนี้มีแค่ 2 คน ถ้าไม่พี่สไลคนนี้ก็ต้องเป็น Bruce Willis – ซึ่งพอพูดแล้วก็คิดถึงเขาขึ้นมาเลยครับ – กับเรื่องนี้พี่สไลแสดงได้ลื่น สามารถผนวกเอาบุคลิกประจำมารวมกันคาแรคเตอร์ของดไวท์ได้แบบพอดี อันนี้ก็ต้องชม Sheridan ด้วยล่ะครับที่รังสรรค์องค์ประกอบต่างๆ ในซีรี่ส์ให้ออกมาพอดีกับความเป็นพี่สไล
ดารารายอื่นก็ถือว่าน่าจดจำครับ แต่ละคนมีซีนของตัวเอง เพียงแต่เนื้อเรื่องในส่วนของพวกเขาอาจไม่ได้ลงลึกอะไรมาก เพราะหลักๆ จะเจาะไปที่ดไวท์มากกว่า แต่เท่าที่เป็นนี่ก็โอเคมากแล้วครับ หนังดูลื่นไหลและสนุกได้ก็เพราะพวกเขาด้วย
ตอนที่ชอบสุดของปีนี้ก็ต้องยกให้ตอนที่ 5 ครับ คือมันพีคและพี่สไลก็ใส่เต็มด้วย อารมณ์มันพลุ่งพล่านและทำให้เราเข้าใจในตัวดไวท์เลย ซึ่งในแง่ความรุนแรงผมก็ไม่สนับสนุนหรอกนะครับ แต่เข้าใจน่ะว่าทำไมพี่แกถึงได้ปรี๊ดแตกเล่นหนักถึงขนาดนั้น – มันทำให้ตระหนักครับว่าแต่ละคนก็มีจุดเดือดของตนเอง เป็นจุดที่แตะไม่ได้ ถ้าใครไปแตะเข้าก็เตรียมเจอชุดใหญ่ ในขณะที่เรื่องอื่นๆ อาจยังพออดทนอดกลั้นและทำใจรับได้ แต่บางเรื่องนี่คือไม่ได้จริงๆ เหมือนดไวท์ที่ให้ติดคุก 25 ปีน่ะทนได้ แต่ถ้าใครมา “ทำคนที่เขารัก” มันจะไม่มีคำว่าทนครับ
ก็ทำให้เข้าใจเหมือนกันว่าแต่ละคนมีจุดเดือดที่ต่างกันไป บางเรื่องที่อาจเป็นเรื่องเล็กสำหรับบางคน แต่บางคนถือเป็นเรื่องใหญ่ ของแบบนี้ก็ควรทำความเข้าใจกันดีๆ ครับ โดยเฉพาะคนที่อยู่ใกล้กัน – และมันก็ทำให้เราคอยเตือนตัวเองไว้ด้วย ว่าอย่าประเมินความรู้สึกใครแบบง่ายๆ อย่าคิดว่าอะไรที่เราทนได้แล้วคนอื่นจะทนได้… การพิจารณาประเด็นนี้ดีๆ อาจทำให้เราอยู่ในโลกได้อย่างสงบขึ้่น หรือไม่ก็มีความปลอดภัยต่อตัวเองมากขึ้น
ปีแรกนี่มี 9 ตอนครับ ช่วง 2 ตอนแรกที่ปูพื้นก็อาจจะเรื่อยๆ หน่อย เหมือนเป็นการเซ็ตจักรวาลของหนังเรื่องนี้ พอดูไปสักพักก็จะเริ่มจับทางได้ ดังนั้นก็อยากให้ลองสัก 2 – 3 ตอนครับ ถ้าไม่แนวก็หยุดดู แต่ถ้าถูกเส้นขึ้นมาก็ยาวล่ะครับทีนี้
อีกวาระหนึ่งที่ชอบคือตอนที่ เกรซ (McKenna Quigley Harrington) หนึ่งในสาวที่ในเวลาต่อมาก็กลายเป็นหนึ่งในลูกน้องของดไวท์ ผมชอบตอนที่เธอพูดกับดไวท์ตรงๆ ว่า ดไวท์จะทำอะไรน่ะ ให้คิดถึงสิ่งที่ลูกน้องต้องเผชิญบ้าง ประมาณว่าดไวท์ไปมีเรื่องไปเขม่นกับเจ้าถิ่นคนอื่นๆ โอเค ดไวท์น่ะอาจไม่กลัว หรือต่อให้โดนหาเรื่องดไวท์ก็พร้อมจะสู้กลับเพราะพี่แกก็มีของประมาณหนึ่ง แต่ประเด็นคือบางทีคนที่จะมาเอาเรื่องดไวท์น่ะ จะไม่มาหาดไวท์ในทันที แต่จะมาข่มขู่หรือทำร้ายลูกน้องของดไวท์ก่อน ว่าง่ายๆ คือลูกน้องซวยก่อนครับ (และในเรื่องก็มีเหตุแบบนั้นจริงๆ)
สิ่งที่เกรซพูดเลยโคตรถูกใจผมครับ เพราะมันเป็นเรื่องจริง ส่วนดไวท์ก็เข้าใจ ถือเป็นฉากเล็กๆ ที่เสริมความน่ารักให้ดไวท์ได้พอสมควร
อีกอย่างที่ชอบคือแต่ละตอนไม่ยาวครับ แค่ 35 – 39 นาที ถือว่ากำลังดี ดูได้เพลินๆ
สรุปว่าใครเป็นแฟนพี่สไลก็ตามมาดูเรื่องนี้ได้เลยครับ ส่วนใครที่ชอบรสมือเขียนบทของ Sheridan ก็ตามมาลิ้มลองได้ ในแง่ความเข้มอาจไม่ข้นคลั่กๆ แต่ก็ถือว่าพอได้อยู่ และอีกอย่างผมว่าพี่เขาเจตนาทำให้โทนมันออกมาเบาๆ กวนๆ ด้วยน่ะครับ
สองดาวครึ่งกว่าๆ ครับ
(7.5/10)












