ผมเพิ่งมาตระหนักในระยะหลังๆ ว่าหนังอีกแนวที่ผมชอบก็คือแนวที่ตัวเอกต้องมาหนีตาย หนีให้พ้นจากการตามล่าจากคนด้วยกันแบบ Nick of Time หรือ Cellular หรืออะไรประมาณนี้ (ส่วนประเภทที่หนีตัวประหลาดนั่นผมจัดเป็นแนวสัตว์โลกน่ารักครับ ซึ่งก็จะมีรายละเอียดบางอย่างต่างไปหน่อยนึง)
อย่างเรื่องนี้ก็เข้าตำรานั้นเลยครับ ประมาณว่าเอมิลี่ (Midori Francis) โดนแฟนเก่าตามล่า เธอเลยพยายามหนีให้พ้นจากเงื้อมมือเขา แล้วก็เข้าไปหลงอยู่ในป่า ซึ่งวิบากกรรมอันหนักหนาของเธอก็คือ เธอสายตาสั้นมากครับ แล้วแว่นก็ดันมาพังไปอีกทำให้เธอมองอะไรแทบไม่เห็น เธอเลยพยายามติดต่อเบอร์ไหนก็ได้ที่โผล่มาในมือถือของเธอ ซึ่งปลายสายก็คือ แซม (Jolene Purdy) พนักงานปั้มน้ำมันที่เผอิญกดโทรผิดไปติดเอาเครื่องของเอมิลี่เข้าพอดี
เอมิลี่เลยขอร้องให้แซมช่วยเป็นตาให้เธอที โดยการโทรแบบเปิดวีดีโอคอลแล้วให้แซมคอยมองดูทางให้ หรือคอยบอกหากแฟนเก่าของเธออยู่ในละแวกนั้น – แล้วความระทึกก็เริ่มต้นขึ้นครับ
อันว่าท่านจะสนุกกับหนังเรื่องนี้แค่ไหน ก็คงจะขึ้นกับว่าท่านซื้อสิ่งที่หนังเล่าหรือเปล่า ที่ผมใช้คำว่า “ซื้อ” แทนคำว่า “เชื่อ” ก็เพราะอย่างผมนี่สารภาพเลยครับว่าก็ไม่ได้เชื่อหรือคล้อยตามสิ่งที่เห็นบนจอไปเสียทั้งหมด มันก็มีบ้างที่ดูแล้วเอ๊ะ ดูแล้วคิดว่า “ทำไมไม่ทำแบบนั้นเล่า?” หรือ “ทำแบบนั้นดีกว่าไหมเนี่ย?” มันมีครับ มันมีห้วงความคิดอย่างที่บอก แต่ผมซื้อนะ คือรับได้กับสิ่งที่หนังเล่า รับได้กับสถานการณ์ที่หนังพาเราไปผจญ มันเลยพอจะกล้อมแกล้มดูหนังได้แบบเรื่อยๆ ไปจนจบ
ดังนั้นที่สิ่งผมพูดในบทความนี้เนี่ย คือพูดในฐานะคนที่ซื้อครับ แต่หากท่านใดไม่ซื้อก็จะไม่แปลกเลยหากท่านจะไม่โอเคกับหนังเรื่องนี้
โอเค… ผมว่าหนังก็ใช้ได้ครับ ช่วงต้นตอนเกริ่นแนะนำตัวละครก็อาจยังไม่เข้าที่บ้าง หรือตอนเริ่มต้นที่แซมเริ่มช่วยเอมิลี่ก็อาจยังไม่ลงตัวบ้าง แต่พอดูไปสักพักหนังก็เริ่มใช้ได้มากขึ้น มันก็เพลินดีครับ ดูไปก็ชวนติดตามไป มีความตื่นเต้นชวนลุ้นแทรกมาเป็นพักๆ แล้วก็แน่นอนครับว่าบางช่วงก็อาจจะเนือยไปบ้าง แต่ไม่มากเท่าไหร่ โดยรวมผมว่าหนังดึงดูดความสนใจจากผมได้ตลอดรอดฝั่งอยู่ครับ และอาจเพราะหนังมันยาวแค่ 1 ชั่วโมงกับ 10 นาทีกว่าๆ มันเลยค่อนข้างเพลินครับ
และจริงๆ ผมว่าช่วงที่หนังเนิ่บๆ อย่างตอนที่แซมกับเอมิลี่คุยแลกเปลี่ยนเรื่องชีวิตกันนั้น มันก็ไม่น่าเบื่อนะ คือในแง่การเขียนบทมันอาจจะไม่ได้สุดยอดอะไร แต่ก็ถือว่าใช้ได้และดูได้เรื่อยๆ อีกทั้งบทพูดก็ยังค่อยๆ เผยให้เรารู้จักคาแรคเตอร์ของพวกเธอมากขึ้นทีละน้อย – เหมือนจิ๊กซอว์ที่ค่อยๆ ประกอบกันให้เราเห็นภาพว่าพวกเธอเป็นคนแบบไหน และเคยเจอเรื่องอะไรมาบ้างก่อนจะมาถึงจุดนี้ – อันทำให้เราพอจะเข้าใจถึงบางการตัดสินใจของพวกเธอได้อยู่
ด้านนักแสดงผมถือว่าผ่านครับ แต่ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าหลายๆ ตัวละครก็ออกแนวโมโนโทนแบบสุดโต่งอยู่เหมือนกัน คือนอกจาก 2 ตัวเอกแล้วคนอื่นๆ ดูจะสุดไปทางใดทางหนึ่งไปเลย ไม่ว่าจะ Michael Patrick Lane ในบท ชาร์ลี แฟนเก่าจอมโรคจิตของเอมิลี่ หรือ Missi Pyle ในบท แครอล เจ๊ไฮโซที่มีเรื่องกับแซมจนอะไรต่อมิอะไรเลยเถิดไปไกล – แต่อันนี้ต้องยอมรับเลยครับว่าบทวีนๆ แบบเนี้ย Pyle เล่นได้ถึงเสมอจริงๆ
และผมว่าหนังแอบบ่นคนรวยด้วยครับ อย่างชาร์ลีนี่ก็เป็นลูกคนรวยที่เอาแต่ใจ ที่มักจะใช้เงินเนรมิตสิ่งที่เขา “คิดว่า” มันเจ๋ง โดยเฉพาะการชอบใช้เงินเล่นใหญ่ให้กับเอมิลี่ในวาระต่างๆ แต่ภายในเขากลับกลวงและโล่งโถงเหมือนไม่มีแก่นแกนอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน พอผิดหวังเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็พร้อมจะสติแตกขั้นสุด หรือคนแบบแครอลที่คิดว่ามีเงินแล้วใหญ่ มีเงินแล้วทำอะไรก็ได้โดยไม่เห็นหัวคนอื่นทั้งสิ้น แล้วก็ดูเหมือนว่าเธอจะได้เจอกับสามีที่ศีลเสมอกันอีกต่างหากด้วย – บุคคลเหล่านี้ถูกกำหนดให้เป็นตัวร้ายที่สร้างความวุ่นวายให้กับหนัง – ดูแล้วคล้ายหนังจะสะท้อนมุมมองบางอย่างเหมือนกันนะครับ
ดูแล้วก็ชวนให้ย้อนมองย้อนทบทวนตัวเองเหมือนกันนะครับ ว่าเราเคยเผลอไผลทำอะไรไม่ดี ไม่น่ารักไปด้วยอารมณ์บ้างหรือเปล่า – อันนี้รวยจนไม่เกี่ยวครับ เพราะคนดี-ไม่ดีก็มีอยู่ในทุกชั้นและทุกชาตินั่นแหละ
อีกประเด็นที่ชวนคิดก็คือ แม้โลกเราทุกวันนี้การสื่อสารจะก้าวไกล เทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปแค่ไหน แต่มันก็คงไร้ความหมายหากใจคนหรือความคิดของคนยังคับแคบ คนเรายังมีกำแพงต่อกัน ไม่ยอมเปิดใจรับฟังสิ่งรอบตัว – ในมุมหนึ่งจิตใจก็เหมือนเทคโนโลยีนั่นแหละครับ มันอัพเกรดได้ มันอัพเดตได้ ถ้าเจ้าของจิตใจจะทำน่ะนะครับ
สรุปนะครับ ผมว่าหนังก็ดูเอาเพลินได้อยู่ ระทึกพอประมาณ บันเทิงพอสังเขป
สองดาวกว่าครับ
(6.5/10)
หมวดหมู่:Horror, Movie Reviews, Thriller












