หนังประเภทฉีกชะตาท้าลิขิตนี่ขอให้บอกครับ ผมนี่ชอบอยู่แล้ว อย่างเรื่องนี้ก็ถือว่าสนุกเข้าท่าจนผมยินดีที่จะเอามาดูซ้ำยามว่างครับ ซึ่งตอนดูซ้ำก็ยังสนุกอยู่
หนังดัดแปลง (แบบหลวมๆ) จากเรื่องสั้น Adjustment Team ของ Philip K. Dick กับเรื่องของ เดวิด นอร์ริส (Matt Damon) สส. หนุ่มไฟแรงที่ลงสมัครชิงตำแหน่งวุฒิสมาชิก และในโค้งสุดท้ายเขากลับพ่ายแพ้ครับ จริงๆ คืนนั้นควรจะเป็นคืนที่แย่ที่สุดในชีวิต แต่เขากลับได้พบกับหญิงสาวปริศนา (Emily Blunt) ระหว่างกำลังพร่ำพ้ออยู่ในห้องน้ำชาย และดูเหมือนว่าเธอคนนี้จะสามารถฉุดเดวิดที่กำลังซวนเซให้กลับมาตั้งหลักได้อีกครั้ง
จากนั้นเขาก็ได้พบกับเธออีกครั้งบนรถเมล์ และความรู้สึกดีๆ ที่เขามีต่อเธอก็ยิ่งเพิ่มขึ้น แต่แล้วในเวลาต่อมาเขาก็ได้พบกับองค์กรปริศนาที่บอกกับเดวิดว่าเขากับเธอจะสายสัมพันธ์กันต่อไปไม่ได้เด็ดขาด – นั่นแหละครับ คือจุดเริ่มคือการท้าชะตาฝ่าลิขิตของเขา
ผมสนุกกับหนังตั้งแต่รอบแรกที่ดูครับ โอเค มันอาจจะไม่ได้สนุกโคตรๆ หรือดีจัดๆ แต่โดยรวมแล้วผมว่าหนังก็อยู่ในข่ายดี ดูสนุก ดูเพลิน มีปมมีอะไรมาดึงให้เราอยากรู้ว่าหนังจะเดินเรื่องไปทางไหน อยากรู้ว่าเดวิดจะทำอย่างไรต่อไป เขาจะยอมแพ้ต่อโชคชะตาหรือจะสู้สุดตัวเพื่อคว้าใจเธอมาให้ได้
นี่เป็นงานกำกับชิ้นแรกของ George Nolfi มือเขียนบท Ocean’s Twelve และ The Bourne Ultimatum โดยเรื่องนี้เขาก็ดัดแปลงบทเองด้วยครับ ซึ่งก็ถือว่าผ่านในระดับที่น่าพอใจเลย สิ่งที่อาจจะยังพร่องหน่อยๆ คือลูกเล่นหรือการพลิกแพลงที่จะทำให้หนังมีความหวือหวาหรือมีรสชาติที่หลากหลายขึ้น แต่ไม่รู้สิครับ ผมว่าที่หนังเป็นอยู่นี่ก็นับว่าเข้าท่าแล้วนะ
ของดีเป็นที่ยิ่งของหนังต้องยกให้การแสดงของ Damon และ Blunt ที่เคมีเข้ากันอย่างดี เอาแค่ซีนแรกที่เจอกันนี่ก็ทำใสห้คนดูอย่างผมรู้สึกแล้วครับว่าพวกเขาดูมีซัมติงต่อกันนะ ดูมีโยงใยอะไรบางอย่างระหว่างกัน จนไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ในที่สุดผมก็จะคอยเอาใจช่วย อยากให้พวกเขาฝ่าลิขิตได้คู่กัน
แล้วดาราแวดล้อมก็เสริมความสนุกให้หนังได้อย่างดี ไม่ว่าจะ Anthony Mackie ในบทเฮนรี่ มิตเชลล์หนึ่งในสมาชิกขององค์กรที่ดันหลับระหว่างปฏิบัติงานจนทำให้ชะตาของเดวิดมีอันต้องเปลี่ยนไป, John Slattery ในบท ริชาร์ดสัน ที่พยายามจะทำให้เดวิดยอมแพ้ต่อลิขิต และ Terence Stamp ในบททอมป์สัน รายนี้ก็ต้องการทำให้เดวิดยอมแพ้เหมือนกัน เพียงแต่ดีกรีความโหดจะมากกว่าริชาร์ดสันเยอะ
อีกอย่างที่ชอบดนตรีของ Thomas Newman ที่ท่วงทำนองอาจจะดูธรรมดานะครับ แต่ผมว่ามันแฝงความหมายไว้เพราะท่ามกลางทำนองธรรมดานั้น เราจะสัมผัสได้ถึงตัวโน้ตบางตัวที่พยายามจะพาตัวเองแหวกออกมาจากหรอบ พยายามจะเดินออกจากทำนองไปตามทางของตน เหมือนสิ่งที่เดวิดเป็น
ก็เป็นอีกหนึ่งหนังที่สอนให้คนอย่ายอมแพ้ต่อโชคชะตาครับ ดังคำว่าชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันไป ถ้าเราสู้ชีวิตแล้วชีวิตสู้กลับเราก็ต้องสู้ตอบ อาจมีการหมอบบ้าง พักบ้างให้หายเหนื่อย หรือไม่ก็หาทางเติมแรงใจอีกสักหน่อย แล้วค่อยไปสู้ต่อ – ผมไม่อาจกล่าวได้ว่า “สู้ไปเถอะ เดี๋ยวก็ชนะ” เพราะมันอาจมีบางสิ่งที่เราชนะไม่ได้ อาจมีบางอย่างที่มันมีข้อจำกัด ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ครับว่าอันไหนที่คุ้มค่าแก่การสู้และดูมีลู่ทางความเป็นไปได้ อันนี้เราก็ต้องย้อนกลับมาประเมินเหมือนกัน
บางทีเราก็ต้องหาเส้นแบ่งระหว่าง “ใจสู้” กับ “ดื้อดึง” ให้เจอครับ – มันอาจช่วยท่านประหยัดพลังงานและเวลาในชีวิตไปได้เยอะเลย
และมีเกร็ดหนึ่งที่ผมอยากเล่า ซึ่งมันอาจจะสปอยล์นะครับ เอาเป็นว่าใครไม่อยากทราบก็อย่าเพิ่งอ่านครับ
================
====สปอยล์ครับ====
================
จริงๆ แล้วตอนแรกนั้น ในฉากไคลแม็กซ์เราจะได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของ “ท่านประธาน” (หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ พระเจ้า) ด้วยครับ และผู้ที่มารับบทก็คือ Shohreh Aghdashloo ซึ่งฉากที่ว่านั้นถ่ายทำไปแล้ว และเป็นฉากจบดั้งเดิมด้วย แต่แล้วทางสตูดิโอกลับแทงเรื่องลงมาว่าให้ตัดฉากนี้ออก ด้วยเหตุผลที่ว่าเธอเป็นมุสลิม และทางสตูดิโอก็ยังไม่พร้อมที่จะให้พระเจ้าในหนังแสดงโดยสตรีชาวมุสลิม
ว่ากันว่าตอนที่ผู้กำกับ Nolfi บอกข่าวนี้กับเธอตอนนัดทานอาหารกลางวัน เขาก็ไม่อยากให้มันเป็นเช่นนั้นเหมือนกันครับ แต่ Aghdashloo เธอก็เข้าใจและยอมรับการตัดสินใจจากสตูดิโอ – ด้วยเหตุนี้ในเรื่องเราจึงไม่ได้เห็นท่านประธานด้วยประการฉะนี้ครับ
=================
===หมดสปอยล์ครับ===
=================
ตัวหนังถือว่าทำเงินไปพอคุ้มทุนครับ ทำไป $127 ล้านจากทั่วโลก ส่วนทุนอยู่ที่ $50 ล้าน หนังจึงจัดว่าทำกำไรเล็กน้อย ก่อนจะมาทำกำไรแบบเป็นกอบเป็นกำตอนออกแผ่นและขายลิขสิทธิ์ลงทีวี เคเบิ้ล และสตรีมมิ่ง
สรุปได้เลยครับว่าใครชอบหนังแนวท้าลิขิตแบบนี้ ก็จัดไปครับ แต่ต้องบอกก่อนนะว่าหนังไม่ได้หวือหวาหรือเร้าใจอะไรมาก (ผมว่า “ท้าฟ้าลิขิต” ของบ้านเราจะตอบโจทย์ความเร้าใจได้มากกว่า) แต่โดยรวมหนังก็สนุกครับ และจริงๆ แค่ดู Damon กับ Blunt แสดงคู่กันนี่ผมว่าก็คุ้มแล้วนะ
และอีกหนึ่งเกร็ดฮาๆ คือด้วยความที่ช่วงนั้นหนังที่ Blunt เล่นแต่ละเรื่องต่างก็ว่าด้วยการเปลี่ยนชะตากรรมทั้งสิ้น – เริ่มจากเรื่องนี้ ต่อด้วย Looper และ Edge of Tomorrow – เลยมีคนตั้งฉายาให้ Blunt ว่าเป็น “เจ้าแม่หนังเปลี่ยนลิขิต” ครับ 555
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)
หมวดหมู่:Drama, Inspirational Movies, Movie Reviews, Mystery, Recommended Movies, Romance, Romance Romance, Sci-Fi, Thriller












