ณ งานเลี้ยงของจอมกระบี่ซันเซียง เกาหยุ่น (เทียนเฟิง, Tien Feng) จู่ๆ กลับเกิดเหตุร้ายเมื่อเก๋อหง (หวงจงซุน, Huang Chung Hsin) หนึ่งในพี่น้องของเขาถูกสังหาร และเพียงไม่นานผู้ลงมือก็เผยตัว นางคือเสิ่นปิงหง (หลี่ชิง, Li Ching, Ching Lee) ลูกของเสิ่นตุ้นที่ถูกเกาหยุ่นกับพวกลงมือสังหารเมื่อนานมาแล้ว และในครั้งนี้เสิ่นปิงหงก็ประกาศก้องว่านางจะล้างแค้นโดยการฆ่าทุกคนที่มีส่วนในการตายของพ่อกับแม่
เรื่องนี้ได้ เยี่ยหัว (Yueh Hua) มารับบท เกาเทียนอิง ลูกคนรองของเกาหยุ่นที่ในเวลาต่อมาก็เกิดจิตผูกพันรักใคร่กับเสิ่นปิงหง, จางชง (Paul Chang Chung) เป็น เกาเทียนเวย พี่ของเกาเทียนอิง, เจียวเจียว (Chiao Chiao) เป็นถงหมิงจู คู่หมั้นจอมเอาแต่ใจของเกาเทียนเวย สมทบด้วย กุ๊ฟง (Ku Feng) ในบทแปดแขนวชิระ ถงหง พ่อของถงหมิงจู และ หลี่คุน (Li Kun) ในบท ซีเหมินชง พี่น้องอีกคนของเกาหยุ่นที่มีจมูกโตเป็นเอกลักษณ์
ตอนแรกนึกว่าหนังจะออกแนวล่าล้างแค้น บู๊กันไปเรื่อยๆ ตามสไตล์ของหนังแนวนี้ แต่กลายเป็นว่าหนังมีหลายรสอยู่เหมือนกันครับ จะแนวล้างแค้นก็มี จะแนวดราม่าก็มา ครึ่งหลังนี่ยังออกแนวผจญภัยที่มีกลิ่นอายแฟนตาซีพ่วงเข้าไปด้วย (ฉากภูเขาไฟนั่นทำให้นึกถึงหนัง Godzilla ยังไงก็ไม่รู้) ก็ถือว่าหลากหลายดีครับ และพอมันมีเรื่องราวเยอะความยาวของหนังก็เลยยาวไปเกือบ 2 ชั่วโมง
แต่หนังจัดว่าดูเพลินอยู่ครับ ความเพลินก็มาจากเนื้อเรื่องที่เดินหน้าไปเรื่อยๆ ไม่ได้วนเวียนอยู่แค่เรื่องความแค้นเพียงอย่างเดียว บวกด้วยฝีมือดาราที่นับว่าไว้ใจได้ ถ้าจะมีอะไรที่แอบขัดใจก็คงเป็นคาแรคเตอร์ของถงหมิงจูที่ดูเอาแต่ใจจนน่ารำคาญ ไม่ยอมฟังเหตุผลอะไรบ้างเลย และเรื่องราวมันยุ่งยากขึ้นจนเกินควบคุมก็เพราะเจ๊นี่แหละ แต่ก็ยังดีครับที่เจ๊เขาดูน่ารำคาญแค่ตอนต้นๆ มาตอนหลังๆ ความร้ายของเธอค่อยดูพอเหมาะขึ้นมาบ้าง หรือไม่ก็อาจเพราะได้ร้ายร่วมกับกุ๊ฟง ดาราระดับตำนานอีกคนที่บทร้ายๆ นี่ขอให้บอกครับ เขาสามารถเล่นให้ลื่นได้เสมอ
คิวบู๊ก็ถือว่าใช้ได้ครับ เพียงแต่ลีลาควงกระบี่ของนางเอกอาจดูขัดตาบ้าง แต่หากมองในบริบทที่ว่านางพิการ ท่วงท่าเลยไม่พลิ้ว อันนี้ก็เข้าใจได้ครับ และจริงๆ ผมว่าสำหรับคนพิการนี่ บู๊ได้คล่องขนาดนี้ก็นับว่ายอดฝีมือแล้วล่ะ
และสิ่งหนึ่งที่รู้สึกระหว่างดูคือ อยากดูเจมส์บอนด์ตอน On Her Majesty’s Secret Service มากๆ เลยครับ 555 เพราะดนตรีที่หนังชอบใส่ลงมาน่ะ ฟังแล้วรู้เลยมันคือท่อนแรกของหนังบอนด์ตอนที่ว่า พอได้ยินบ่อยๆ มันเลยรู้สึกคิดถึงและอยากดูขึ้นมาเป็นของธรรมดา
หนังกำกับโดย หลอเหว่ย (Lo Wei) ผู้กำกับระดับตำนานอีกคน ก็ถือว่าเขาคุมหนังได้ดีครับ นี่อาจไม่ใช่ผลงานที่ดีที่สุดของเขา แต่ก็ถือได้ว่าคุ้มค่าแก่การรับชม – ส่วนผมก็อาจไม่ได้ชอบหนังมากมาย แต่ยอมรับว่าดูแล้วสนุกดี และการที่หนังยาวตั้งเกือบ 2 ชั่วโมงแต่เราไม่รู้สึกเบื่อนี่ ก็ต้องนับว่าหนังมีดีไม่ต่ำทราม
อีกอย่างคือตอนจบของเรื่องครับ เป็นการจบแบบที่ถือว่าเกินคาด ไม่คิดว่ามันจะลงเอยในรูปนี้ ซึ่งตอนจบนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมจดจำหนังเรื่องนี้ได้มากยิ่งขึ้น
ชื่อตอนออกแผ่นคือ ดาบนางพญาหิมะ ครับ
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)












