ผลงานหนังคาวบอยตะวันตกเรื่องแรกและเรื่องเดียวของดาราสาวระดับตำนานอย่าง Audrey Hepburn ซึ่งทั้งตัวหนังและเบื้องหลังงานสร้างต่างก็มีอะไรให้กล่าวถึงอยู่ไม่น้อย
หนังดัดแปลงจากหนังสือของ Alan Le May (แห่ง The Searchers) กับเรื่องราวของครอบครัวแซ็คคารี่ที่ประกอบด้วยพี่ชายคนโตอย่าง เบน (Burt Lancaster) น้องชายอย่างแคช (Audie Murphy) และแอนดี้ (Doug McClure) กับน้องสาวนามราเชล (Audrey Hepburn) ที่ถูกรับมาเลี้ยงตั้งแต่เล็ก โดยพวกเขาทำมาหากินสร้างเนื้อสร้างตัวและดูแลมัททิลด้า (Lillian Gish) แม่ของพวกเขามาเป็นอย่างดี
แต่แล้ววันหนึ่งก็มีชายชรานามว่า เอ๊บ เคลซี่ย์ (Joseph Wiseman) โผล่มาพร้อมเผยแพร่ข่าวว่าแท้จริงแล้ว ราเชลคือลูกหลานของอินเดียนแดง อันส่งผลให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ตามมา และทำให้ครอบครัวแซ็คคาชี่ต้องเผชิญหน้าทั้งกับเพื่อนบ้านที่ต่างก็หันหลังให้ กับเหล่าอินเดียนแดงไคโอว่า ที่ต้องการพาตัวราเชลคืนกลับไปสู่เผ่าตน
มาว่ากันที่ตัวหนังก่อนนะครับ ผมชอบนะ การเล่าเรื่องถือว่าน่าติดตาม ปมต่างๆ ก็ถูกวางและเฉลยอย่างพอเหมาะ แม้หนังจะยาว 2 ชั่วโมงหน่อยๆ แต่ผมไม่รู้สึกว่าน่าเบื่อเลยครับ คนแรกที่ขอยกความดีความชอบให้ก็คือผู้กำกับ John Huston ที่ถือว่าคุมหนังเรื่องนี้ได้อย่างดี แม้ว่าหนังอาจไม่สุดยอดเท่าผลงานระดับตำนานของเขาอย่าง The Treasure of the Sierra Madre, The Maltese Falcon หรือ The Man Who Would Be King แต่ผมว่าเรื่องนี้ก็ดีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า Moby Dick , The Misfits หรือ The Life and Times of Judge Roy Bean เลย
แน่นอนว่าพลังสำคัญของหนังอีกส่วนก็มาจากดาราครับ Lancaster นี่นอนมาอยู่แล้ว บทประเภทยอดชายคนดีผู้ผ่องแผ้วนพคุณนี่เขาเล่นได้ดีเสมอ ส่วน Hepburn ก็ฉายแสงได้อย่างน่าจดจำ เธอดูน่ารัก จิตใจงาม และดูแกร่งอยู่ในที จนไม่แปลกใจเลยครับที่ตัวละครชายหลายคนจะรู้สึกดีๆ กับเธอ – เอาแค่ 2 ดารานำนี่ก็เอาหนังได้อยู่แล้วครับ
ไหนจะ Gish ที่ดูเป็นแม่ของครอบครัวแซ็คคารี่ได้อย่างน่าจดจำ ดูแล้วเชื่อว่าเธอรักลูกๆ ของเธอจริงๆ อีกคนที่ผมชอบก็คือ McClure ที่ดูเป็นน้องชายที่แสนกระตือรือร้น อยากรู้อยากเห็นโลกกว้าง ส่วน Murphy ก็แสดงอารมณ์และตัวตนของแคชได้ดีเช่นกัน
Wiseman ที่ในเวลาต่อมาจะรับบทวายร้ายแห่งหนัง James Bond 007 อย่าง Dr. No รายนี้ก็สวมวิญญาณเอ๊บ เคลซี่ย์ได้อย่างน่าขนลุก เขาดูแฝงความร้ายกาจเอาไว้ในท่าทีที่ดูเคร่งศาสนา แต่ขณะเดียวกันเขาก็สามารถสื่อให้คนดูสัมผัสได้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นมันเป็นความจริงหรือเป็นความเท็จ และอีกคนที่บทอาจไม่มาก แต่ดูมีพลังทุกรอบที่ขึ้นจอคือ Charles Bickford ในบท เซ็บ หัวหน้าครอบครัวรอว์ลินส์ที่แม้จะเชื่อในศักดิ์ศรีของตระกูลแซ็คคารี่แค่ไหน แต่พอเป็นเรื่องเกี่ยวกับเชื้อชาติแล้ว เขาก็มีจุดยืนในแบบของเขาเช่นกัน
ฉากที่ผมชอบสุดคงต้องยกให้ตอนที่ 3 อินเดียนแดงเดินทางมาเพื่อคุยกับเบนที่หน้าบ้าน ฉากนั้นผมว่ามีพลังมาก การสื่อสารระหว่างเบนกับเหล่าอินเดียนแดงดูตึงเครียด ต่างฝ่ายต่างมีจุดยืน ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมถอย เป็นฉากหนึ่งที่ผมว่าน่าจดจำมากๆ ทีเดียว
ครับ ตัวหนังผมถือว่าทำได้ดี มีดาราดีๆ ผู้กำกับที่มือถึง งานสร้างที่ดูยิ่งใหญ่พอตัว ส่วนประเด็นหลักของหนังก็ว่าด้วยเรื่องการเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติที่จัดว่าสะท้อนความจริงเรื่องนี้ได้อย่างดุเดือดพอประมาณ
และจริงๆ หนังน่าจะมีความดุเดือดในประเด็นเรื่องการเหยียดผิวมากกว่าที่เราเห็นครับ เพราะผู้กำกับ John Huston กะจะจัดเต็ม แต่ทางผู้สร้างก็ยืนกรานว่าทิศทางของหนังควรจะเน้นกลิ่นอายความเป็นแอ็คชั่นผจญภัยมากกว่า ซึ่งจริงๆ Huston ก็ไม่พอใจแต่เขาก็ยังเดินหน้าทำหนังต่อ ซึ่งในเวลาต่อมาก็มีการเล่าว่าเหตุผลที่ Huston ไม่ออกจากเก้าอี้กำกับก็เพราะเขาต้องการนำเงินค่าแรงจากหนังเรื่องนี้ไปซ่อมแซมคฤหาสน์ของเขานั่นเอง
ส่วนในกระบวนการสร้างหนังเรื่องนี้ก็มีอะไรให้เล่าเยอะพอสมควร เริ่มจากเรื่องบท แคช แซ็คคารี่ ที่ตอนแรกมีการวางตัวให้ Richard Burton มารับบท แต่ในที่สุดเขาก็บอกปัดไปโดยให้เหตุผลว่า มีหมอดูมาทักว่าเขาจะตายตอนอายุ 33 ปี (ซึ่งก็คือในปี 1959 ช่วงถ่ายทำหนังเรื่องนี้พอดี) และเขายังใช้เหตุผลนี้ในการปฏิเสธแสดงนำในหนัง King of Kings ด้วย
แต่ในขณะเดียวกันก็มีคนกล่าวกันว่า เหตุผลจริงๆ ที่ Burton บอกปิดไม่แสดงใน The Unforgiven ก็เพราะเขาต้องการให้ชื่อตัวเองอยู่บนใบปิดในระดับเดียวกับ Lancaster แต่ Lancaster (ซึ่งกินตำแหน่งอำนวยการสร้างด้วย) ไม่ยอมครับ Burton เลยโบกมือลา – ส่วนเหตุผลที่เขาไม่แสดงใน King of Kings นั้น ก็เพราะจริงๆ แล้วเขาไม่เชื่อในพระเจ้าครับ เขาเลยไม่แสดงในหนังที่ว่าด้วยเรื่องศาสนา
ส่วนอีกคนที่ถูกทาบทามให้มารับบทแคช ก็คือ Tony Curtis ซึ่งรายนี้บอกปัดไปเนื่องจากในตอนนั้นเขารู้สึกว่า เขาอยู่ในจุดที่ไม่จำเป็นต้องเล่นบทรองๆ อีกแล้ว – ว่าง่ายๆ คือขอรับแต่บทนำครับ
ส่วนบท ราเชล ก็เคยมีการทาบทาม Natalie Wood แต่สุดท้ายบทก็เป็นของ Hepburn และยังมีการทาบทามให้ Bette Davis มาแสดงเป็นมัททิลด้า แต่เธอก็บอกปัดโดยให้เหตุผลว่าเธอไม่อยากต้องรับบทแม่ของ Lancaster (เพราะเธออายุมากกว่าเขาแค่ 5 ปีเท่านั้น)
แต่เรื่องราวที่ถือว่าใหญ่โตที่สุดคือการที่ Hepburn ได้รับบาดเจ็บระหว่างการถ่ายทำครับ เธอตกจากหลังม้าแส่งผลให้เธอหลังเธอหักจนต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่ถึง 6 สัปดาห์ แต่สิ่งที่น่าเศร้าก็คือตอนนั้นเธอตั้งครรภ์ด้วยครับ และในเวลาต่อมาเธอก็เสียลูกไป
ผู้คนมากมายพุ่งเป้าตำหนิไปยังกองถ่ายหนังเรื่องนี้ และคนที่รู้สึกเสียใจที่สุดก็คือ Huston เขาตำหนิตัวเองที่ไม่ระวังป้องกันระหว่างถ่ายทำให้ดีกว่านี้ และเขาก็ประกาศออกมาเลยว่าเขารู้สึกเกลียดหนังเรื่องนี้มากๆ แต่ Hepburn กลับไม่ตำหนิเขาหรือใครๆ ในกองเลยครับ และเมื่อเธอแข็งแรงพอเธอก็กลับมาเพื่อถ่ายทำหนังต่อจนจบ โดยระหว่างถ่ายทำรอบหลังนี้เธอต้องสวมที่พยุงหลังอยู่ตลอด เรียกว่าสปิริตของเธอนั้นสูงส่งมากจริงๆ ครับ
สรุปนะครับ หนังถือว่าอยู่ในระดับที่น่าดู แม้อะไรๆ อาจไม่ถึงกับยอดเยี่ยม แต่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ดาราคุณภาพกับผู้กำกับคุณภาพร่วมกันสร้างสรรค์ขึ้นมา ใครชอบหนังแนวตะวันตกก็อยากให้ลองชมเรื่องนี้กันครับ
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)
หมวดหมู่:Action, Drama, Movie Reviews, Recommended Movies, Romance, Western












