Biography

Becoming Warren Buffett (2017) กว่าจะมาเป็นวอร์เรน บัฟเฟตต์

นี่คือสารคดีที่จะทำให้คุณรู้สึกสงบและกระตือรือร้นในเวลาเดียวกัน

ในฐานะของคนที่ตระหนักว่าชาตินี้ตัวเองคงไม่มีโอกาสได้เจอ Warren Buffett ตัวเป็นๆ แน่นอน สารคดีนี้จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้สัมผัสกับความเป็น Warren Buffett จากเจ้าตัวเองจริงๆ ครับ เพราะตลอดสารคดี Buffett เป็นคนเล่าเรื่องราวเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นคงไม่มีอะไรที่จะเป็นตัวเขามากไปกว่าตัวเขาแล้วน่ะนะครับ

ผมดูสารคดีนี้แล้วต้อง Pause ทุกๆ 5 นาที มันเป็นไปเองครับ ถ้าถามว่าทำไมต้อง Pause คำตอบก็คือภายในตัวผมลึกๆ มันบอกให้ Pause แล้วค่อยๆ พิจารณา ไตร่ตรองเรื่องราวที่เราเพิ่งได้รับรู้ ว่าง่ายๆ คือดูแล้วได้อะไรบางอย่างติดหัวกลับมาจนอยากจะใช้เวลาใคร่ครวญเกี่ยวกับมันสักพัก ทั้งๆ ที่การนำเสนอและเล่าเรื่องเป็นไปอย่างง่ายๆ ไม่ได้มีลูกเล่นหวือหวาอะไร แต่มันเป็นความเรียบง่ายที่ได้น้ำได้เนื้อมากๆ เลย

ท่านที่มีโอกาสได้ชมสารคดีนี้ผมอยากให้ลองสังเกตครับ สังเกตสิ่งที่ Buffett ให้ความสำคัญ – อะไรที่เขามักกล่าวถึง หรืออะไรที่เขาเอามาติดไว้ตามกำแพงของบริษัท สิ่งเหล่านี้นับเป็น “ลายแทง” ที่น่าสนใจ

และในโอกาสนี้ ผมก็ถือโอกาสเอาสิ่งที่ผมคิดว่าน่าสนใจที่ผมเจอจากสารคดีนี้ มาร้อยเรียงไว้ตรงนี้นะครับ (กะเก็บไว้อ่านเองด้วยครับ 5555)

================================

สารคดีเล่าอย่างง่ายๆ ซื่อๆ เช่นเล่าว่ายามเช้าเขาจะซื้ออาหารจากแมคโดนัลด์กิน วันไหนที่อะไรๆ ดีหน่อย (เช่น ตลาดหุ้นดูสดสวย) ก็จะกินราคาสูงหน่อย (สูงในที่นี่คือประมาณ 3.17 เหรียญ) แต่ถ้าวันไหนเขารู้สึกไม่อู้ฟู่เท่าไหร่ เขาก็จะกินเมนูที่ราคา 2.61 เหรียญ

และที่แน่ๆ คือเขาชอบอ่านครับ เขาจะใช้เวลาราว 5 – 6 ชั่วโมงต่อวันไปกับการอ่าน

สมัยเด็กๆ เขาได้เงินประมาณ 1 นิกเกิลต่อสัปดาห์ (นิกเกิลคือเหรียญ 5 เซ็นต์ครับ) ทีนี้พอเขาอยากได้เงินมากกว่านั้น เขาก็เลยเริ่มทำงาน ไม่ว่าจะเดินเร่ขายโค้ก, หมากฝรั่ง, หนังสือพิมพ์ หรือนิตยสาร โดยเขาจะคำนวณรายรับและการลงทุนต่างๆ เพราะเขาสนุกกับการคิดเลขมาตั้งแต่เด็ก ก่อนจะโดดเข้าสู่การขายหุ้นในตอนอายุ 20 ปี

================================

มีช่วงที่ Buffett เรียกว่าเป็นช่วงตกต่ำของเขา เมื่อเขาตัดสินใจหนีออกจากบ้าน (ส่วนหนึ่งเพราะปัญหาเกี่ยวกับแม่ของเขา) โดยเขาชวนน้องๆ ให้หนีไปด้วยกัน แต่ในที่สุดตำรวจก็พาเขากลับมาส่งที่บ้าน

เมื่อถึงบ้าน พ่อของเขาก็กล่าวเพียงว่า “ลูกทำได้ดีกว่านี้นะ” ในนาทีนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาทำให้พ่อผิดหวัง และนั่นเป็นอีกหนึ่งวาระที่ทำให้เขาทบทวนตนเอง

Buffett เล่าว่า พ่อของเขามักจะสอนด้วยการทำเป็นแบบอย่าง ไม่ได้สอนจากการพูด – เขาคิดเสมอว่าพ่อคือของขวัญที่วิเศษที่สุดของชีวิต

================================

เขาได้เรียนรู้กฎในการลงทุนมาจาก Benjamin Graham อาจารย์ที่เขานับถือ

กฎข้อแรกก็คือ อย่าเสียเงินเป็นอันขาด (Never Lose Money)

และกฎข้อสองคือ อย่าลืมกฎข้อแรกเป็นอันขาด

Buffett อธิบายแนวทางในการพิจารณาว่าธุรกิจตัวไหนน่าลงทุน โดยเปรียบเทียบกับวิธีการตีลูกเบสบอลให้ทำคะแนน – ในหนังสือศาสตร์แห่งการตี (The Science of Hitting) ของ Ted Williams แนะนำให้เราหาจุด Sweet Spot (จุดเด็ด, จุดสมดุล, จุดเหมาะสม, จุดหวาน หรือจุดกลมกล่อม แล้วแต่คนจะแปล) ความหมายง่ายๆ ก็คือ เป็นจุดที่การลงทุนด้วยต้นทุนที่เหมาะสม มาตัดกับผลลัพธ์ที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้

เขาบอกว่า “ในโลกการลงทุน ผมอยู่ในธุรกิจที่ไม่จำเป็นต้องตีทุกลูก… ผมสามารถดูบริษัทต่างๆ ได้เป็นพันบริษัท แต่ผมไม่จำเป็นต้องเลือกถูกทุกบริษัท ผมเพียงเลือกลูกที่ผมอยากตี”

“กลเม็ดหนึ่งในการลงทุน คือการนั่งดูการโยนลูกแต่ละครั้ง แล้วรอให้มีลูกเข้าไปใน Sweet Spot ของคุณ ส่วนพวกคนที่ตะโกนบอกว่า “ตีสิเจ้าโง่” คุณไม่ต้องสนใจพวกนั้น”

“มีสิ่งล่อใจให้เราตัดสินใจทำอะไรกับหุ้นอยู่มากมาย แต่พอผ่านไปหลายปีคุณจะสร้างตัวกรองต่างๆ ขึ้นมา และผมรู้จักสิ่งที่เรียกว่า Circle of Competence (วงกลมแห่งความเชี่ยวชาญ, วงกลมแห่งความรู้, วงกลมแห่งความถนัด – แล้วแต่คนจะแปล) ซึ่งผมจะไม่ออกจากวงกลมนั้น รวมถึงผมจะไม่กังวลกับเรื่องต่างๆ ที่อยู่นอกวงกลมนั้น – การกำหนดว่าคุณจะเล่นตรงไหนที่คุณจะได้เปรียบที่สุด เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง”

================================

“คุณอาจรู้สึกบางอย่างกับหุ้น แต่หุ้นจะไม่มีความรู้สึกอะไรกับคุณ” Buffett กล่าวเตือนสติ สำหรับการใช้อารมณ์ในการลงทุน

================================

Charlie Munger พูดไว้ว่า “เหตุผลหนึ่งที่ Warren Buffett ประสบความสำเร็จคือ เขาไม่มีความปรานีในการประเมินอดีตของตนเอง เขาจะมองหาการคิดที่ผิดพลาด เพื่อหลีกเลี่ยงการคิดผิดในอนาคต”

ผมชอบมุมคิดที่ว่า “คนเราจะไม่ล้อเล่นกับความสำเร็จ” อย่างตอนที่ Buffett ยกตัวอย่างว่า ถ้าคุณซื้อช็อคโกแลตยี่ห้อหนึ่งไปให้แฟน แล้วแฟนก็ปลื้มมาก ประทับใจมากจนหันมาจูบคุณ ในที่สุดคุณก็จะกลับไปซื้อช็อคโกแลตนั้นไปให้แฟนอีก เพราะคุณเห็นแล้วว่ามันมอบความสำเร็จ (ในเรื่องความรัก) ให้คุณ และคนเราจะไม่ล้อเล่นกับเรื่องนี้

เป็นประเด็นที่น่าสนใจหากเราจะลองคิดดีๆ เกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้บริโภค

================================

อย่างที่หลายท่านทราบว่า Bill Gates กับ Buffett เป็นเพื่อนสนิทกัน

Buffett เล่าว่าพ่อของ Bill Gates เคยขอให้พวกเขาทั้ง 2 คน เขียนคำหนึ่งคำลงในกระดาษ – คำใดก็ได้ที่อธิบายว่า อะไรที่ช่วยเราได้มากที่สุด

ทั้งสองเขียนคำเดียวกัน…

คำนั้นคือ Focus

================================

ผมชอบคำกล่าวนี้ของ Buffett “ปัญหาธุรกิจหรือปัญหาการลงทุนแก้ได้ง่ายมาก แต่ปัญหามนุษย์นั้นแก้ได้ยาก บางครั้งปัญหามนุษย์ก็ไม่มีคำตอบที่ดี แต่ปัญหาเรื่องเงินน่ะเราเจอคำตอบที่ดีได้เสมอ”

================================

Buffett กล่าวว่า “สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำเงินคือเวลา คุณไม่จำเป็นต้องฉลาดมากมาย แค่มีความอดทนก็พอ”

ตอนที่ Buffett เขียนจดหมายถึงลูกๆ เรื่องจะบริจาคเงินส่วนหนึ่งให้กับมูลนิธิที่พวกเขาก่อตั้ง ใจความคือ “หากทำอะไรด้วยความกลัวความล้มเหลว ก็คงทำสิ่งที่สำคัญได้ไม่มากนัก แต่หากลูกกล้าเสี่ยง กล้าที่จะล้มเหลว เพียงไม่กี่ครั้ง ลูกจะเปลี่ยนอะไรได้มากมาย”

================================

ผมคิดและตระหนักถึงหลายสิ่งหลายอย่างระหว่างดูสารคดีนี้ และหนึ่งในนั้นคือ “ไม่ควรประมาทกับคำว่าโอกาส”

มันทำให้ผมคิดว่า ในโลกที่โอกาสน้อย เป็นดั่งของหายาก คนจะพยายามขวนขวายหาโอกาส – เพียงโอกาสเล็กๆ พวกเขาก็พร้อมจะฉวยมันไว้แล้วต่อยอดให้กลายเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ – เขาจะไม่ดูถูกโอกาสนั้น (ว่ามันเล็กจังเลย) และไม่มัวดูถูกตัวเอง (ว่าเราจะทำได้รื้อ?) – หรือไม่สำหรับบางคนที่ไม่อาจคว้าโอกาสได้ ไม่มีโอกาสใดผ่านมาเลย เขาก็อาจหาทางสร้างมันขึ้นด้วยสมองและสองมือ – คนที่ผ่านเส้นทางสายนี้ ก็จะเป็นแบบหนึ่ง

แต่ในโลกที่มีโอกาสมากมาย มันอาจทำให้เราพลาดโอกาสไป – เพราะคิดว่ามันมีมาก พลาดอันนี้เดี๋ยวก็มีมาอีกนั่นแหละ – หรือคิดว่าโอกาสนี้เล็กจัง ยังไม่ใหญ่พอ รอเอาอันที่ใหญ่กว่าดีกว่า สุดท้ายก็รอ รอ รอ จนไม่มีอะไรเกิดขึ้น – คนที่เดินบนทางสายนี้ ก็จะพบชีวิตอีกแบบหนึ่ง

 “ไม่ควรประมาทกับคำว่าโอกาส”

พึงตระหนักว่าโลกนี้มีสิ่งที่เราควบคุมได้ และควบคุมไม่ได้

และห้วงความคิดนี้ ทำให้ผมนึกถึงคำว่า “เร็ว ช้า หนัก เบา” – เราอาจนำมาประยุกต์ใช้ ช่วยในการพิจารณาได้อีกแรง

================================

สารคดีนี้ จบลงด้วยบทเพลงที่ผมคิดว่าเป็นเพลงที่เหมาะสมที่สุด เป็นเวอร์ชั่นที่เหมาะสมที่สุดแล้ว – ผมชอบครับ เพราะดี

ผมอยากให้ทุกท่านได้ลองชมครับ เชื่อว่าสารคดีนี้จะเปลี่ยนชีวิตใครหลายๆ คนได้

หรืออย่างน้อยถึงจะไม่เปลี่ยน แต่ก็คงให้อะไรดีๆ กับท่านได้บ้าง

สามดาวครับ

(8/10)