Documentary

In Search of Darkness (2019), เจาะมิติหนังสยอง

In Search of Darkness คือสารคดีที่สร้างขึ้นเพื่อคนรักหนังสยองอย่างแท้จริงครับ

ในฐานะที่เป็นคนชอบดูหนังสยอง อยากบอกว่าสาแก่ใจมาก แม้ความยาวของสารคดีจะประมาณ 4 ชั่วโมงกับ 24 นาที แต่ผมนั่งดูได้แบบยาวๆ เลยครับ ไม่มีคำว่าเบื่อเลย ซึ่งก็คงเพราะผมชอบหนังสยองนั่นแหละเลยเพลินกับสารคดีไปได้เรื่อยๆ แต่หากใครไม่คุ้นเคยกับหนังสยอง หรือไม่มีพื้นเกี่ยวกับหนังสยองยุค 80 มาก่อน ก็อาจจะไม่อินแบบผมครับ ดังนั้นสารคดีนี้จะว่าไปก็เฉพาะกลุ่มอยู่เหมือนกัน

สารคดีจะเจาะเรื่องเกี่ยวกับหนังสยองในยุค 80 ครับ การนำเสนอก็จะเป็นการเอาหนังเด่นๆ ระหว่างปี 1980 – 1989 มาพูดถึงเป็นรายเรื่อง แล้วก็สลับด้วยหัวข้อที่น่าสนใจเกี่ยวกับหนังสยอง เช่น เรื่องเกี่ยวกับตัวร้ายหลักของหนังสยองแต่ละเรื่องที่กลายมาเป็นไอค่อนแห่งโลกหนังสยอง (เช่นพวกพี่เจสัน เฮียเฟรดดี้ หรือป๋าพินเฮดเป็นต้น) หรือประเด็นอย่างทำไมตัวละครหนุ่มสาวที่ไปทำอะไรๆ กันในหนัง ถึงมักโดนเชือดอยู่เรื่อย อะไรเหล่านี้เป็นต้น

เป็นการดูสารคดีที่ดูแล้วมีความสุขครับ (ประโยคนี้แอบโรคจิตเหมือนกันแฮะ 555) เพราะหนังที่คนทำเลือกมานี่มีความน่าสนใจและมีประเด็นให้พูดถึง หรือไม่ก็จะมีจุดเด่นที่ชวนจดจำ ประเภทว่าพอพูดถึงหนังเรื่องนี้แล้ว ฉากเด็ดประจำเรื่องก็จะผุดเข้ามาในหัวเราทันทีเลยอะไรแบบนั้น ไหนจะฉากสยองที่หนังคัดมาส่วนใหญ่ก็สยองแบบเต็มตา ไม่มีปิดบังเซ็นเซอร์อะไรให้สะดุดทางอารมณ์

ก็ต้องขอชื่นชม David A. Weiner ล่ะครับ เขาเป็นคนเรียบเรียงและนำเสนอสารคดีนี้ ซึ่งถือว่าเขาทำออกมาได้ดีมาก มีจุดให้สนใจอยู่ตลอด และบางครั้งก็มาพร้อมประเด็นดีๆ ที่ชวนให้เราคิดอีกด้วย

มีอยู่ประโยคหนึ่งที่ผมชอบครับ นั่นคือประโยคที่พูดโดย Joe Bob Briggs เขาพูดว่าหนังสำหรับหนังสยองยุค 80 แล้ว มายด์เซ็ตของคนทำหนังคือ “What can we make not what can we remake” แปลตรงๆ เลยก็คือคนทำหนังยุคนั้นเขาจะสร้างสรรค์หนังออกมาบนฐานความคิดว่า “เราสร้างอะไรได้ ไม่ใช่เรา “รีเมค” อะไรได้”

มันเป็นอะไรที่ชัดมากน่ะครับ เพราะหนังสยองยุค 80 ที่มันมีความโดดเด่นจนคนจดจำและหลายเรื่องก็เด็ดมากจนทำแฟรนไชส์ออกมาแบบไม่สิ้นสุดจนถึงทุกวันนี้ ก็เพราะเขาสร้างสิ่งสดใหม่ มันมีอะไรให้ว้าว มีเอกลักษณ์เข้าท่า ในขณะที่หนังสมัยใหม่นี่จ้องจะรีเมคกันท่าเดียว นี่ไม่ได้หมายความถึงแค่หนังสยองนะครับ ผมว่ามันรวมถึงหนังอีกหลายแนวด้วย เหมือนความสร้างสรรค์ถึงทางตันไปแล้วยังไงยังงั้น

อีกคนที่ผมชอบคือ Caroline Williams นางเอกหนัง Texas Chainsaw Massacre 2 ที่พูดถึงเรื่องของ “เพศหญิงในหนังสยอง” ผมชอบการมองในมุมบวกของเธอครับ เธอมองว่าเพศหญิงก็มีจุดเด่นในเพศของตน มีสิ่งที่เอกลักษณ์ มีสิ่งที่ผู้ชายไม่มี แต่ขณะเดียวกันผู้หญิงก็มีบางสิ่งที่ผู้ชายไม่มี คือเธอไม่ได้มองว่าเพศไหนเจ๋งกว่าเพศไหนครับ เธอมองว่าแต่ละเพศก็มีเอกลักษณ์ของตน เธอจึงไม่เรียกร้องความเท่าเทียมกันทางสังคมระหว่างชายหญิง เพราะเธอรู้ว่าเพศหญิงก็มีดีในแบบของตัวเอง และ “ดี” ในแบบของตัวเองที่ว่าก็คือหนึ่งในเหตุผลที่เพศหญิงมักจะรอดเป็น The Final Girl ในหนังสยองทั้งหลาย รวมไปถึงมุมมองที่เธออยากเห็นบทบาทของ LGBTQ ในโลกของหนังสยอง ที่เธอมองว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจและชวนให้ติดตามแบบยาวๆ

ดูแล้วได้หลายรสครับ นอกจากได้รำลึกหนังสยองในตำนาน ได้รู้เกร็ดสนุกๆ เกี่ยวกับหนังสยองหรือวงการหนัง ก็ยังมีมุมมองของเหล่านักแสดง ผู้กำกับ รวมถึงนักวิจารณ์ที่มีต่อโลกของหนังสยองมาถ่ายทอดให้เรารับรู้กันแบบจุใจพอตัว อย่างที่บอกน่ะครับว่าเป็นอะไรที่สาแก่ใจมากสำหรับคนรักหนังสยองอย่างผม

และนี่เป็นเพียงตอนแรกเท่านั้นนะครับ เพราะสารคีดนี้ทำออกมาเป็นไตรภาค ยังมีอีก 2 ภาครอเราอยู่ ใจจริงผมน่ะอยากดูต่อทันทีครับ แต่ประเด็นคือภาคต่อไปก็ 4 ชั่วโมงกว่าเหมือนกัน ต้องเคลียร์เวลาก่อนดูพอสมควร

สามดาวเต็มครับ

(8/10)