ยอมรับว่าถูกใจเรื่องนี้แบบคาดไม่ถึง โดยเฉพาะลีลาตลกร้ายแสบสันต์ที่เสียดสีอะไรต่อมิอะไรตลอดทั้งเรื่อง อีกทั้งบทสนทนาแบบโบ๊ะบ๊ะที่เข้ากับสไตล์การพากย์ของทีมพันธมิตรเป็นที่สุด
เรื่องราวเกิดขึ้นแถบประเทศจีนตอนใต้ ประมาณยุค 1920 อันเป็นช่วงที่เหล่าขุนศึกกำลังเรืองอำนาจ หนังเปิดมาก็แนะนำให้เรารู้จักกับ หม่าปังเต๋อ (เก่อโยว, Ge You) ที่ใช้เงินซื้อตำแหน่งมาเป็นเจ้าเมืองเหอเฉิง โดยมีเจตนาหมายจะกอบโกยเงินเข้ากระเป๋าให้มากที่สุด แต่ระหว่างทางดันโดนแก๊งโจรของจางหมาจื่อ (เจียงเหวิน, Jiang Wen) ดักปล้น
แล้วการปล้นก็จบลงตรงที่ จางหมาจื่อจัดการยึดตำแหน่งเจ้าเมืองและตัวตนของหม่าปังเต๋อมาเป็นของตน ส่วนหม่าปังเต๋อก็อาศัยช่วงชุลมุนอ้างตัวว่าเป็นเสนา ผู้ช่วยของหม่าปังเต๋อ (เพราะเกรงว่าถ้าบอกว่าตนคือหม่าปังเต๋อแล้วจะโดนฆ่าทิ้ง) แล้วพวกเขาก็เข้าเมืองไป
แต่กลายเป็นว่าแทนที่ตำแหน่งเจ้าเมืองจะทำให้จางหมาจื่อได้เงินได้ทอง ดันกลายเป็นว่าเจ้าเมืองคนก่อนๆ ขูดรีดชาวเมืองไปจนหมดแล้ว และในเมืองยังมีเจ้าพ่ออย่าง หวงซื่อหลาง (โจวเหวินฟะ, Chow Yun Fat) ที่คอยงัดข้อแย่งอำนาจกับเจ้าเมืองอีก งานนี้ 3 ตัวละครหลักเลยงัดสารพัดกลยุทธ์มาขับเคี่ยวกัน – เรื่องมันก็ประมาณนี้ครับ
นี่ไม่ใช่หนังแอ็คชั่นครับ แต่มันคือหนังตลกร้ายเสียดสีทั้งเรื่องการเมืองและธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งคนกำกับก็ไม่ใช่ใคร ก็คือเจียงเหวินเองนั่นแหละ ซึ่งหนังเดินเรื่องอย่างไวและลื่นไหลครับ จุดสนุกของหนังคือการขับเคี่ยวเล่นเกมกันระหว่างจางหมาจื่อกับหวงซื่อหลาง ส่วนหม่าปังเต๋อก็ออกแนวเหยียบเรือสองแคม พร้อมจะปรับตัวหันไปหาอีกฝ่ายได้เสมอเพื่อเอาตัวรอด
ลีลาการเล่าเรื่องนั้นถือว่าฉับไวไหลไปเรื่อยๆ ส่วนการเดินเรื่องก็จะเน้นที่บทสนทนาครับ ตัวละครทั้งหลายทั้งนายและลูกน้องก็ผลัดกันมาต่อปากต่อคำ บ้างตีกันด้วยเหตุผล บ้างตีกันแบบไถข้่างๆ คูๆ บ้างก็ตั้งใจหาเรื่องอีกฝ่ายด้วยสงครามน้ำลาย โดยที่แต่ละฝ่ายก็เข้าข่าย “ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่” ดังนั้นใครไม่ใช่หนังที่พูดกันเยอะๆ เรื่องนี้ก็อาจไม่เหมาะกับท่านครับ เพราะมันพูดกันทั้งเรื่องจริงๆ
แต่สำหรับผมหนังไม่น่าเบื่อเลยนะ คงเพราะผมชอบหนังแนวต่อปากต่อคำกันน่ะครับ และเรื่องนี้ก็จัดหนักทำได้ดีซะด้วย มันเลยกลายเป็นความสนุกขนานใหญ่ และที่สำคัญคือลีลาสนทนาแบบโบ๊ะบ๊ะในเรื่องนั้น ก็โคตรจะเข้ากับลีลาการพากย์สไตล์พันธมิตรครับ ประมาณว่าตัวละครหนึ่งพูดแบบโยนลูกใส่ อีกตัวละครหนึ่งก็รับลูกพร้อมตบลูกคืน แล้วระหว่างนั้นก็จะมีตัวละครรอบๆ คอยยิงมุกเสริมเข้าไป คือมันเป็นอะไรที่เพลินมากครับ เพราะบทพูดมันดีทั้งในแง่ฟังสนุกฟังบันเทิง แล้วยังมาพร้อมประเด็นชวนคิดอีกต่างหาก แล้วเมื่อมาบวกกับลีลาการพากย์ระดับเทพของพวกเขาแล้ว มันเลยเป็นอะไรที่ลงตัวสุดๆ ไปเลย
ผมจัดเรื่องนี้ไป 2 รอบครับ กลายเป็นว่ารอบ 2 นี่ชอบมากขึ้นไปอีก เพราะมันเก็บรายละเอียดได้มากขึ้น ก็ต้องยอมรับเลยครับว่าบทน่ะดีมาก (เห็นว่าดัดแปลงมาจากหนังสืออีกที) ตัวเรื่องก็น่าติดตาม การต่อปากต่อคำก็น่าสนใจ ส่วนประเด็นในหนังก็เหมือนเป็นการเอาความจริงมาพูดเล่นน่ะครับ ไม่ว่าจะเรื่องความสกปรกของนักการเมือง, การสร้างอำนาจและคงไว้ซึ่งอำนาจของเหล่าผู้มีอิทธิพลทั้งหลาย, การแก่งแย่งของผู้มีอำนาจที่ส่วนใหญ่จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม, การพร้อมจะแถจะไถจะเมคอะไรขึ้นมาก็ได้เพื่อโจมตีฝ่ายตรงข้าม (โดยยึดหลักว่า “พูดก่อนย่อมได้เปรียบ” คือจะจริงไม่จริงไม่รู้ แต่ถ้าพูดก่อนก็จะได้คะแนนนำมาตุนในกระเป๋า), การเหยียบเรือสองแคม หรือการเป็นนกสองหัว ฯลฯ
คือดูแล้วมันรู้สึกสะใจอยู่ลึกๆ น่ะครับ เพราะมันสนุกทั้งการขับเคี่ยวเฉือนคม และสนุกกับการจิกกัดที่เสียดสีพฤติกรรมของมนุษย์ได้แบบชวนขำ (แต่แน่นอนว่ามันเป็นความขำแบบ “ขำขื่น” มากกว่าจะ “ขำขัน”)
ในเรื่องนอกจาก 3 ดารานำแล้วก็ยังมี หลิวเจียหลิง (Carina Lau) ในบทภรรยาของหม่าปังเต๋อ และ เจียงอู่ (Jiang Wu) เป็นครูฝึกอู่จื้อชงที่เป็นลูกน้องในปกครองของหวงซื่อหลาง แต่ละคนเล่นได้อย่างเยี่ยมครับ คือในแง่การแสดงทางอารมณ์ก็จัดว่าดี ครั้นจะแสดงให้ออกแนวฮา พวกพี่เขาก็ฮาแบบหน้าตายท่ามกลางสถานการณ์ที่ดูจริงจังโดยเฉพาะเฮียโจวนี่เล่นได้โคตรดีทั้งตอนจริงจังและตอนฮา (ผมว่าในเรื่องนี้นี่ เฮียเขาแสดงฝีมือและวาดลีลาได้เด็ดมาก ชนิดที่เอาบทบาทตอนเฮียเขาไปเล่นหนังฮอลลีวู้ดมารวมกัน ยังสู้เรื่องนี้เรื่องเดียวไม่ได้)
ถ้าจะมีอะไรที่ติดหน่อยๆ ในใจก็คงเป็นตอนท้ายที่บางอย่างบางสิ่งดูมันจะรวบๆ ไปนิด ความตืนเต้นน้อยไปหน่อย แต่ก็ถือว่ารอดตัวได้เพราะการแสดงดีๆ ของเหล่าดารานำนี่แหละครับ
สรุปว่าหนังถูกจริตและถูกใจผมมากครับ คิดว่าเดี๋ยวคงต้องเอามาดูซ้ำอีก แต่ผมก็ไม่อาจรับประกันน่ะนะครับว่าท่านจะสนุกไปกับหนังเรื่องนี้เหมือนผมไหม เอาเป็นว่าลองเช็คก่อนครับว่าชอบหนังฮาประเภทพูดพ่นใส่กันตลอดทั้งเรื่องไหม ถ้าชอบล่ะก็ มีโอกาสสูงครับที่ท่านจะเพลินกับหนังเรื่องนี้
สองดาวสามส่วนสี่ดวงครับ
(7.5/10)












