เรื่องนี้มีดีคืองานถ่ายภาพที่สวยเอาเรื่องครับ โดยฉากหลังตามเนื้อหาจะเป็นยุคหิน เราก็จะได้เห็นที่ราบ ป่าเขา หรือชะง่อนหินต่างๆ ซึ่งคนชอบดูงานภาพอย่างผมก็โอเคในจุดนี้อยู่พอประมาณ อันนี้เป็นฝีมือของ Ben Fordesman ซึ่งผมว่างานภาพนี่แหละคือจุดที่เด่นสุด
ส่วนตัวเรื่องก็ว่าด้วยเหล่ามนุษย์ยุคหินที่ย้ายถิ่นไปอยู่สถานที่ใหม่ แต่ดูเหมือนที่นั่นจะมีอะไรบางอย่างคอยจับตาดูพวกเขาอยู่ และพอพวกมันเริ่มบุกมาข้องแวะกับพวกเขา การต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดก็เริ่มต้น
ผมดูหนังเรื่องนี้บนความเข้าใจครับ คือเข้าใจแหละว่ามันคือโลกยุคหิน ดังนั้นเวลาที่เรื่องเป็นตอนกลางคืนภาพมันก็จะมืด มืดแบบมืดตึ๊บเลย ซึ่งก็เข้าใจได้ครับเพราะมันคือยุคโบราณน่ะ นอกจากไฟจากกองไฟแล้ว รอบด้านมันก็ต้องมืดสนิท เราเลยจะเห็นอะไรไม่มาก รวมถึง “บางสิ่ง” ที่เหมือนจะมาคอยตามล่าพวกเขา เราก็จะไม่เห็นเลย อันนี้ก็เข้าใจเหมือนกันว่าหนังเล่าบนฐานความสมจริง
แต่ก็สารภาพครับว่าผมแอบงีบไปเหมือนกัน เพราะตอนภาพมันมืดนี่มันก็มืดจริง แล้วมันก็ไม่เห็นอะไรเลยจริงๆ ซึ่งสำหรับบางคนสถานการณ์แบบในหนังอาจทำให้รู้สึกกดดันและรู้สึกกลัว เพราะไม่รู้ว่ามีอะไรกำลังจับตาดูพวกเขาอยู่บ้างไหม แต่ด้วยความที่หนังเดินเรื่องช้า เมื่อมาบวกกับภาพมืดๆ มันเลยอดไม่ได้ที่จะง่วงครับ อันนี้แม้จะเข้าใจยังไงก็เถอะ แต่พอไม่เห็นอะไร และสถานการณ์ก็เน้นเล่าแบบสมจริง แบบไม่เน้นปรุง ความตื่นเต้นหรืออะไรมันเลยไม่เยอะ ทำให้พอถึงจุดหนึ่งความสนใจของผมมันก็ลดลงน่ะครับ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะง่วงอย่างที่บอกไป
ดังนั้นผมเลยได้ข้อสรุปว่า ผมคงไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของหนังน่ะนะครับ แม้จะชอบงานภาพและเข้าใจว่าหนังพยายามนำเสนออะไรก็ตาม แต่การเล่าเรื่องมันอืดไป ช้าไป คือว่าสารคดีว่าด้วยโลกยุคหินหรือธรรมชาติบางอันมันยังดูน่าสนใจกว่า แต่กับอันนี้นี่มันนิ่งจริงๆ ครับ
แต่อย่างน้อยผมก็ชอบสาระที่หนังสื่อนะครับ แต่สำหรับบางท่านอาจถือเป็นสปอยล์ ดังนั้นใครไม่อยากทราบก็ไม่ควรอ่านครับ
====== สปอยล์ครับ =======
อย่างแรกเลยคือหนังสะท้อนให้เราตระหนักว่า ความกลัวของคนนี่มันสามารถหลอกหลอนตัวผู้กลัวเองได้มากแค่ไหน คือบางทีสิ่งที่เรากลัวนั้นมันอาจไม่ได้น่ากลัวมากมาย หรือมันอาจไม่น่ากลัวเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะพลังความคิดหรือพลังจินตนาการของเรานี่แหละที่วาดภาพมันจนดูน่ากลัวเกินจริงไป – บางครั้งก็ตัวเรานี่แหละครับที่เป็นฝ่ายหลอกตัวเอง
อย่างต่อมาคือ “ประเด็นการกลัวในสิ่งที่เรายังไม่รู้” อันนี้สะท้อนแบบตรงๆ เลยครับว่าสิ่งที่เรายังไม่รู้ยังไม่เข้าใจนั้น สามารถหลอนเราได้เกินจริงไปเหมือนกัน ดังนั้นวิธีสลายความกลัวในบางสิ่งบางอย่าง เราก็ต้องหาความรู้ ทำให้ตนเองรู้ ทำให้ตนเองเข้าใจเกี่ยวกับมัน อย่าปล่อยตัวให้จมอยู่กับความกลัวไปชั่วกาล
และบทสรุปของเรื่องก็สะท้อนประเด็น “ความต่างของคน” พูดง่ายๆ คือสิ่งที่ตัวเอกเจอนั้น หาใช่ปีศาจสยองอะไร แต่ก็คือมนุษย์อีกเผ่าพันธุ์ ซึ่งพวกเขาก็มีวิถีชีวิตและมีวัฒนธรรมของตนเหมือนกัน แต่ต่างฝ่ายต่างก็กลัวกันจนสุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องชวนสลด ตายกันไปเกือบหมด – ถ้าเอามาปรับใช้กับโลกปัจจุบันก็คงต้องใช้คำว่า “ใจเย็นๆ” อย่าด่วนพร้อมบวกจนเกินไป โดยเฉพาะกับคนที่คิดต่างหรือมองต่างจากเรา เราอาจต้องลองให้โอกาสที่ต่างฝ่ายจะต่างปรับความเข้าใจต่อกัน อย่าด่วนมองว่าอีกฝั่งจะต้องเป็นศัตรูเสมอไป
แต่อันนี้ก็ต้องแยกแยะน่ะนะครับ ว่าถ้าอีกฝ่ายหมายจะเล่นเรา หมายจะทำร้ายเรา เราก็ต้องป้องกันตัวเหมือนกัน หรือจะหลบไปตั้งหลักก็แล้วแต่ – เป็นสาระที่ควรปรับใช้ตามบริบทครับ
==== หมดสปอยล์ครับ =====
เอาเป็นว่าคนที่ชอบอะไรที่มันตื่นเต้นตูมตามก็อาจต้องปรับใจก่อนดูสักหน่อยนะครับ แต่หากใครคิดว่าหนังที่เล่าชีวิตยุคหินแบบไม่เน้นปรุงเป็นอะไรที่ท่านสนใจล่ะก็ ก็ลองดูกันได้ครับ ส่วนผมนั้นโอเคงานภาพกับประเด็นชวนคิดที่สะท้อนความเป็นมนุษย์ให้ได้พิจารณากัน แต่การเดินเรื่องมันเนิ่บและภาพตอนมืดมันก็มืดมากจริงๆ จนหักกลบลบแล้วก็จะออกแนวเฉยกับเรื่องนี้ไป
ไม่ถึงสองดาวครับ
(5.5/10)
หมวดหมู่:Horror, Movie Reviews, Thriller












