หนังมีความตั้งใจจะเป็นตอนต่อจากภาคต้นฉบับเมื่อปี 1992 ครับ ซึ่งผลที่ออกมาก็ถือว่าโอเคอยู่
คราวนี้ตัวเอกคือ แอนโทนี่ แม็คคอย (Yahya Abdul-Mateen II) ศิลปินหนุ่มที่ไปได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับแคนดี้แมนเข้า แล้วเขาก็เริ่มขุดคุ้ยเรื่องราวเกี่ยวกับมัน ทีนี้ยิ่งขุดเลือดก็ยิ่งนองครับ เริ่มมีคนตายแบบโหดๆ เพิ่มขึ้นทีละศพ และยังทำให้บริอันน่า (Teyonah Parris) แฟนสาวของเขาเริ่มเป็นห่วง – แล้วเรื่องราวครั้งนี้มันจะไปลงเอยที่ตรงไหน คำตอบอยู่ในหนังครับ
จุดที่ชอบคือความพยายามในการเชื่อมเรื่องเข้ากับภาคแรกครับ ถือว่าทำได้ดี ทำให้ทุกครั้งที่มีเรื่องเล่าหรือประเด็นอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับภาคแรก หนังช่วงนั้นจะดูน่าสนใจขึ้นมาทันที – ดังนั้นถ้าบอกว่าหนังได้พลังจากภาคแรกมาช่วยโอบอุ้มก็คงไม่ผิดล่ะครับ – และถ้าจะดูหนังเรื่องนี้ให้ออกรสก็ควรหาภาคแรกมาดูก่อนครับ (ภาคแรกภาคเดียวพอ ภาคอื่นไม่ต้องก็ได้ครับ)
แต่ด้วยความที่ประเด็นจากภาคแรกมันดูเด่นและมีพลัง มันเลยทำให้เรารู้สึกเลยเหมือนกันว่าเนื้อเรื่องหลักของหนังภาคนี้กลับดูไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ หลักๆ ก็คือเรื่องของแอนโทนี่น่ะครับ เรื่องการทำงานของเขา การพยายามจะสร้างชื่อ พยายามจะวาดภาพแล้วก็หาที่ยืนในสังคม กลายเป็นว่าเรื่องส่วนนี้ไม่ค่อยเท่าไร มันจะค่อยมาน่าสนใจก็ตอนที่มันมีประเด็นจากภาคแรกมาเกี่ยวนี่แหละ
พอดูจนจบ พอเห็นบทสรุปก็พอเข้าใจน่ะครับว่าทำไมหนังต้องเล่าเรื่องของแอนโทนี่ให้เราได้รับรู้ เพราะสิ่งที่ถือเป็นธีมหลักของหนังภาคนี้ก็คือประเด็น “ความไม่เท่าเทียมและการเหยียดสีผิว” ซึ่งหนังสอดแทรกประเด็นนี้ลงในหนังตลอดเรื่อง ก็ถือว่าเข้าท่าเหมือนกันครับ เป็นการสานต่อประเด็นเกี่ยวกับแคนดี้แมนที่น่าสนใจ เพราะว่าตามจริงการที่มันมีตำนานแคนดี้แมนขึ้นมาเนี่ย ส่วนหนึ่งเลยก็เพราะการเหยียดผิวนี่แหละ – ดังนั้นพอมีการรีบูทสร้างภาคต่อใหม่ การจะขยายประเด็นเหล่านี้ก็ถือว่าทำให้หนังเข้าสมัยมากขึ้นอยู่เหมือนกัน
ส่วนเรื่องฉากการเชือดก็ถือว่ากลางๆ ครับ น่ากลัวประมาณหนึ่ง แต่มันยังไม่ขนลุกชวนผวาเท่าที่ภาคแรกเคยทำไว้ อันนี้ส่วนหนึ่งก็ขึ้นกับคนที่มาแสดงเป็นแคนดี้แมนด้วย อย่างภาคแรกนี่ Tony Todd ผู้ล่วงลับเขาทำไว้ดีมากน่ะครับ เลยทำให้ค่อนข้างยากหน่อยที่ใครจะเทียบรัศมีได้ และลีลาการหลอนด้วยบรรยากาศของภาคนี้ก็ยังไม่มากเท่าภาคแรกด้วย ฉากการเชือดเลยถือว่าพอได้ แต่ก็ยังไม่เด่นนัก
อีกอย่างคือบรรยากาศตามตึกร้างต่างๆ ผมว่าภาคแรกทำออกมาได้หลอนกว่า พวกภาพกราฟฟิตี้หรืออะไรมันดูดิบและมีพลังกว่า และอีกอย่างคือผมว่าภาคแรกนี่หนังสามารถทำให้ตำนานของแคนดี้แมนครอบคลุมไปตามส่วนต่างๆ ของเรื่องได้อย่างมีพลัง เหมือนเราค่อยๆ จมเข้าสู่โลกของแคนดี้แมนทีละน้อย ในขณะที่ภาคนี้มันยังไปไม่ถึงจุดนั้นน่ะครับ คือมันจะดูชวนผวายามที่มีการเล่าหรือเชื่อมถึงภาคแรก แต่ฉากอื่นๆ นอกจากนั้นมันยังไม่ทำให้เรารู้สึกได้ว่า Candyman is All Around
ถ้าให้เรียงลำดับความชอบ แน่นอนว่าภาคแรกสุดคือมาวินครับ แล้วรองลงมาก็คือภาคนี้ แต่ก็ถือว่าตามกันอยู่เป็นช่วงตัวเหมือนกัน
แง่คิดสำคัญอย่างหนึ่งที่หนังทิ้งไว้คือ เราเป็นส่วนหนึ่งที่กำลังสร้างให้เกิดแคนดี้แมนในโลกความจริงหรือเปล่า ว่าง่ายๆ เลยคือเราไปกดขี่ กลั่นแกล้ง ทำร้ายใครจนเขาเก็บเอาไปแค้นจนอยากล้างแค้นหรือเปล่า แคนดี้แมนที่ผมพูดถึงนี้ไม่ได้หมายถึงเฉพาะผีเท่านั้นนะครับ แต่คนที่อัดแน่นไปด้วยความแค้นอันเกิดจากความเก็บกด เกิดจากการโดนกดขี่ข่มเหงนานๆ ไม่แน่นะครับว่าตอนที่เขาระเบิดออกมาน่ะ อาจน่ากลัวไม่น้อยหน้าผีสางเลยก็ได้
บางทีความเท่าเทียมอาจไม่ได้ให้ประโยชน์แค่กับคนที่ได้รับโอกาสแห่งความเท่าเทียมเท่านั้น แต่มันอาจมีส่วนช่วยป้องกันสังคมให้ไม่วุ่นวาย ช่วยให้ไม่เกิดอาชญากรรมอันเนื่องมาจากความอัดอั้นคับแค้นของผู้ที่ถูกแกล้ง ถูกกดขี่ หรือด้อยโอกาสกว่า – ไม่ได้จะบอกว่าการกระทำอันเกิดจากความคับแค้นเป็นเรื่องถูกนะครับ แค่จะบอกว่า ถ้ามันมีเครื่องมือหรือวิธีที่ช่วยให้ไม่เกิดเรื่องพวกนี้ได้ มันก็คงดีกว่า
สรุปว่าหนังมีประเด็นชวนคิดครับ และส่วนที่ทำให้หนังสนุกก็คือพลังจากภาคแรกที่แผ่ซ่านเข้ามาโอบอุ้ม ในขณะที่ตัวหนังเองถือกว่ากลางๆ ดูได้เรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่เด่นถึงขนาด – แต่อย่างน้อยรายได้ก็น่าพอใจครับ ทำไปราว $77 ล้านจากทั่วโลก ส่วนทุนสร้างอยู่ที่ $22 ล้าน ก็กำไรใช้ได้เลยครับ
สองดาวครับ
(6/10)
หมวดหมู่:Horror, Movie Reviews, Slasher Movies, Supernatural Horror, Thriller












