Action

The Package (1989) แผนดับคนดังหลังม่านเหล็ก

จ่าจอห์นนี่ กัลลาเกอร์ (Gene Hackman) ได้รับภารกิจให้นำตัวทหารคนหนึ่ง (Tommy Lee Jones) กลับมารับโทษในอเมริกา แต่แล้วพอถึงอเมริกาจอห์นนี่กลับถูกจู่โจมและนายทหารคนนั้นก็หายตัวไป ซึ่งก็แน่นอนว่าจอห์นนี่ไม่ยอมปล่อยให้เขาหนีไปง่ายๆ ครับ เลยพยายามตามรอยทุกวิถีทาง แล้วในที่สุดเขาก็พบว่าตัวเองกำลังเผชิญกับแผนร้ายสุดอันตราย และตัวเขาเองก็ตกเป็นเป้าหมายที่จะต้องถูกปิดปาก

ดูแล้วนึกถึง The Fugitive ผสมกับ In the Line of Fire ครับ แต่บอกได้เลยว่า 2 เรื่องนั้นสนุกและเวิร์คกว่ามาก พวกการสืบสวนตามปมของจอห์นนี่นั้นมันน่าสนใจแค่ตอนต้นๆ น่ะครับ แต่พออะไรๆ เริ่มเผยส่วนนี้ก็ไม่ค่อยตื่นเต้นอะไรแล้ว ที่เหลือก็รอดูว่าพวกผู้ร้ายจะมาไล่จัดการพวกพระเอกยังไง ซึ่งส่วนนี้ก็ออกมากลางๆ ครับ บางฉากก็ตื่นเต้น แต่บางช่วงก็ช้าหน่อย

และตอนแรกผมนึกว่า Jones จะมีบทบาทเยอะนะ แต่กลายเป็นว่าพี่ท่านบทไม่เยอะ แต่อย่างน้อยทุกครั้งที่ปรากฏตัวเขาก็ถือเป็นสีสันที่ใช้ได้อยู่ ส่วนพวกฉากแอ๊คชั่นต่างๆ ก็ถือว่าโอเคครับ แต่ก็ยังไม่ถึงกับเด่นมากนัก และสำหรับ Hackman ก็ถือว่าเล่นได้ลื่นตามเคยครับ แต่เหมือนบทจะไม่ค่อยส่งให้เขาแสดงความเก่งมากเท่าไร อันนี้ก็แอบเสียดายเหมือนกัน

ส่วนตัวผมมองว่าหนังเรื่องนี้เป็นผลงานซ้อมมือของผู้กำกับ Andrew Davis ครับ โดยก่อนเรื่องนี้เขาก็เคยทำ Code of Silence กับ Above the Law ซึ่งก็ถือว่าพอๆ กับเรื่องนี้ นั่นคือดูได้เพลินๆ แต่ยังไม่ถึงขั้นเด็ดขาดลงตัว ทว่าผลงานถัดมาอย่าง Under Siege และ The Fugitive นั่นแหละครับถึงจะจัดเต็มและมันส์แบบเป็นเรื่องเป็นราว

สำหรับเกร็ดของหนังเรื่องนี้ คือตอนแรก Kris Kristofferson จะมาแสดงบทของ Jones ครับ แต่สุดท้ายตัวเลือกก็มาลงที่ Jones และว่ากันว่าจริงๆ ถัดจากเรื่องนี้ Jones จะได้ไปแสดงนำใน In the Line of Fire แต่สุดท้ายผู้กำกับ Wolfgang Petersen อยากได้ Clint Eastwood มาแสดงมากกว่า Jones เลยไม่ได้เล่นครับ

แต่นั่นก็เหมือนจะกลายเป็นเรื่องดี เพราะนั่นทำให้เขาสามารถมาแสดงเป็น แซม เจอร์ราดใน The Fugitive ได้ ซึ่งตอนแรกคนที่เกือบจะได้แสดงเป็นแซมก็คือ Hackman คับ แต่สุดท้ายเขาก็บอกปัดไป บทเลยกลายเป็นของ Jones อันส่งให้เขาในรางวัลออสการ์ในท้ายที่สุด

สรุปว่าเป็นหนังแอ็คชั่นระทึกขวัญที่ดูได้เรื่อยๆ ครับ แต่ยังไม่ถึงขั้นเด็ดจนน่าจดจำ จุดหนึ่งเลยที่รู้สึกคือจอห์นนี่ยังไม่โดนไล่ล่าแบบเต็มที่น่ะครับ หนังเลยมีช่วงช้าช่วงพักหายใจอยู่เยอะ นี่ถ้ากระหน่ำไล่ล่าแบบกะจะบี้ให้ติดดินเลยเนี่ย หนังน่าจะลุ้นและเร้าใจกว่านี้ – ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะบทด้วยน่ะครับ – แต่สุดท้ายผู้กำกับ Davis ก็ไปทำได้ดีมากๆ ใน The Fugitive ครับ

สองดาวกว่าๆ ครับ

(6.5/10)