อีกหนึ่งหนังแนวสร้างแรงบันดาลใจที่นำเอาเรื่องจริงมาเป็นเค้าโครงครับ
หนังเล่าถึงจิม แม็คคอร์มิค (Jim Caviezel) นักแข่งเรือเร็วผู้มีอดีตอันเจ็บปวดและส่งผลให้เขาเลิกลงแข่งแล้วหันมาเป็นผู้ดูแลทีมมิสแมดิสันแทน แต่แล้วเมื่อความศรัทธาของชาวเมืองที่มีต่อการแข่งกีฬานี้ถึงจุดตกต่ำ อีกทั้งคนจากเมืองอื่นๆ ก็ยังมองทีมของเขาด้วยสายตาเยาะหยัน จิมเลยตัดสินใจเดิมพันครั้งใหญ่โดยการผลักดันให้เมืองแมดิสันของเขาได้เป็นเจ้าภาพการแข่งขันเรือเร็วโกลด์คัพประจำปี 1971
ยิ่งไปกว่านั้นในที่สุดเขาก็ยังตัดสินใจลงมือเป็นคนขับเรือเร็วแข่งด้วยตัวเองอีกด้วย… ส่วนเรื่องที่เหลือจะเป็นเช่นไร ก็มาเอาใจช่วยเขากันนะครับ
จริงๆ พล็อตแบบนี้นี่มันทางของผมเลยนะ หนังแนวกีฬาที่สร้างจากเรื่องจริงที่สร้างเสริมแรงบันดาลใจ ครับ พล็อตน่ะดี และจริงๆ องค์ประกอบหลายอย่างในหนังก็อยู่ในข่ายดี ไม่ว่าจะดาราอย่าง Caviezel ที่เล่นดีเสมอโดยเฉพาะบทคนดีผู้ทุ่มเทแบบนี้ บวกด้วย Mary McCormack ในบทบอนนี่ ภรรยาของจิม, Jake Lloyd มาเป็นไมค์ ลูกชายของเขา, Bruce Dern มาเป็นแฮร์รี่ โวลปี ช่างเครื่องมือดีที่จิมนับถือ และ Paul Dooley ในบทนายกเทศมนตรีดอน วอห์น ที่เอาใจช่วยจิมและทีมแข่งเรือแบบเทหมดหน้าตัก
งานภาพก็เวิร์คนะครับ เป็นฝีมือของ James Glennon ที่ไต้เต้ามาจากการทำงานในกองถ่าย The Godfather Part II และ Return of the Jedi มาเรื่องนี้เขาก็สามารถถ่ายทอดบรรยากาศของเมืองเล็กๆ ที่อุดมด้วยต้นไม้ใบหญ้าในยุค 70 ได้อย่างดี
ครับ หลายอย่างน่ะถือว่าดี แต่ครับ (มีแต่จนได้) แต่จุดที่ลดทอนความสนุกและน่าติดตามของหนังลงไปไม่น้อยคือการเล่าเรื่องที่ออกจะกระท่อนกระแท่นไปสักหน่อย เพราะพล็อตหนังมันมีรายละเอียดปลีกย่อยอยู่หลายส่วนครับ ไม่ว่าจะเรื่องในครอบครัวแม็คคอร์มิค, เรื่องปมในใจของจิม, เรื่องความรู้สึกของชาวเมืองที่บางทีก็เหมือนจะว่วยแต่บางทีก็เหมือนจะซ้ำเติม หรือเรื่องแข่งเรือก็ตาม ก็ยังมีปลีกย่อยไปอีกทั้งเรื่องเกี่ยวกับการแข่งเรือ แล้วก็ยังมีเรื่องที่เมืองต้องรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพอีก ไหนจะประเด็นเรื่องการขายบัตรงานแข่งให้ได้ตามเป้าอีก – พูดตรงๆ เลยก็คือหนังยังไม่สามารถหลอมรวมพล็อตปลีกย่อยเหล่าให้เป็นเนื้อเดียวกันได้
ถ้าเปรียบก็เหมือนเป็นลำแสงที่กระจัดกระจาย ไม่ได้ถูกโฟกัสให้รวมศูนย์รวมพลังส่องไปในทางเดียวกัน – พลังของหนังมันเลยไม่สุดเท่าไรน่ะครับ
อีกอย่างที่รู้สึกคือ ดูหนังเรื่องนี้แล้วมันรู้สึก “ใจแฟ่บมากกว่าใจฟู” คือหนังแนวนี้เนี่ยมันย่อมต้องมีอุปสรรคให้ตัวละครฟันฝ่าใช่ไหมครับ อ้า เราจะได้หเนความใจสู้ของพวกเขา และเราจะได้เอาใจช่วยพวกเขา แต่มันรู้สึกเลยว่าสัดส่วนการนำเสนอในหนังน่ะ มันเน้นไปที่ “เรื่องชวนให้ใจแฟ่บ” มากกว่า “เรื่องชวนให้ใจฟู” คือดูแล้วเจอแต่ปัญหาที่พวกตัวเอกต้องเจอ เจอแล้วก็เจออีก ในขณะที่ฉากประเภทใจฟูดูพวกตัวเอกแก้ปัญหาได้นั้นมันมีน้อยกว่า และที่ว่าน้อยนั่นก็ดูไม่เปี่ยมพลัง
ง่ายๆ เลยก็คือ หนังทำให้ใจเราแฟ่บได้สำเร็จครับ แต่ทำให้เราใจฟูได้ไม่ขึ้นสักเท่าไร – นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมไม่ใช่คำว่า หนัง Feel Good กับเรื่องนี้ เพราะแม้หลายอย่างมันจะสื่อไปทาง Good แต่มันก็ยัง Good ไม่สุด หรือจะบอกว่าหนังตั้งใจให้เราสัมผัสถึงโลกความจริงที่ไม่ได้มีอะไรสวยงามไปหมดหรอก มันก็ไม่ใช่แบบนั้นน่ะครับ แต่มันรู้สึกเหมือนว่าคนทำยังทำให้เรา Feel Good ได้ไม่สำเร็จมากกว่า
โดยรวมหนังเลยออกมากลางๆ ครับ คือหลายอย่างมันดีนั่นแหละ หรือถ้าดูจากพล็อตหนังก็จบแบบแฮปปี้นั่นแหละ และดูก็รู้นั่นแหละว่าหนังอยากให้ทำให้รู้สึกถึงพลังบวก รู้สึก Feel Good แต่เพราะการนำเสนอที่ให้น้ำหนักไปทางเรื่องน่าหนักใจ มันเลย Feel Good แบบหนืดๆ แบบติดมันหน่อยๆ
หนังกำกับโดย William Bindley ที่พอหลังจากเรื่องนี้แล้วเขาก็หยุดงานกำกับไปเกือบ 20 ปี หนังล่าสุดที่กำกับก็คือ The Last Summer ของ Netflix แล้วก็หันไปอำนวยการสร้างแทน (เช่นเรื่อง Upgraded ของ Prime น่ะครับ)
เอาเป็นว่าถ้าชอบแนวนี้ก็ลองดูได้ครับ เพราะจริงๆ หนังก็โอเคนั่นแหละ เพียงแต่หนังยังไม่สามารถทำให้เรารู้สึกถึงพลังบวกมากพอ หรือยังไม่ทำให้รู้สึกคึกคักฮึกเหิมมากเท่าหนังแนวเดียวกันเรื่องอื่นๆ อย่างพวก Billy Elliot, Eddie the Eagle, 12 Mighty Orphans หรือ McFarland, USA
สองดาวกว่าๆ ครับ
(6.5/10)
หมวดหมู่:Drama, Inspirational Movies, Movie Reviews, Sport











