ผมจับจ้องหนังเรื่องนี้มาตั้งแต่ตอนเข้าโรงที่อเมริกาแล้วครับ เพราะหนังแนวคริสต์มาสสำหรับครอบครัวแบบนี้ห่างหายจากโรงไปนานมากๆ ครั้นพอเห็นหนังติดอันดับ Top 10 ใน Box Office กับเขา แล้วคำชมก็เป็นในโซนบวก มันก็ยิ่งอยากดูนะ ครั้นพอได้ดูแล้ว… ผมก็อิ่มเอมใจแบบสุดๆ ทำเอาคืนนั้นนอนหลับด้วยความสบายไปเลยครับ – มันทำให้มีความสุขจริงๆ นะนั่น
หนังเล่าถึงเรื่องราวในเมืองเอ็มมานูเอล ที่จะมีการจัดแสดงละครเกี่ยวกับการประสูติของพระเยซู ซึ่งมีทุกปีจนกลายเป็นประเพณีคู่เมืองไปแล้ว แต่ปีนี้มีความเปลี่ยนแปลงครับ นั่นคือคนที่ดูแลกำกับการแสดงนี้มาตลอดหลายปีดันเกิดอุบัติเหตุเลยต้องพักรักษาตัว แล้วคนที่มารับหน้าที่แทนก็คือ เกรซ (Judy Greer) คุณแม่ของเบธ (Molly Belle Wright) ที่เป็นคนเล่าเรื่องราวนี้ให้เราฟัง ซึ่งจริงๆ มันก็คงไม่เป็นไรหรอกครับ ก็แค่มือใหม่มาคุมงานกำกับครั้งแรก อย่างมากก็น่าจะยุ่งยากแค่นิดหน่อย…
แต่มันดันไม่หน่อยตรงที่ จู่ๆ 5 เด็กแสบตระกูลเฮิร์ดแมน ตัวป่วนที่ชาวเมืองพากันประหวั่นพรั่นพรึงดันแสดงความประสงค์ที่จะแสดงนำในละครเรื่องนี้ให้ได้… นี่แหละครับ มันจะยุ่งกันใหญ่ก็อีตรงนี้แหละ
หนังเรื่องนี้น่าดูหรือไม่? เอาเป็นว่าท่านลองถามตัวเองด้วยคำถามเหล่านี้ครับ
1. ท่านชอบหนังวันคริสต์มาสไหมครับ?
2. ท่านชอบหนัง Feel Good อบอุ่นหัวใจไหมครับ?
3. ท่านชอบหนังที่ดูแล้วยิ้มทั้งน้ำตาไหมครับ?
ถ้าคำตอบคือใช่เป็นส่วนใหญ่ล่ะก็ ได้โปรดเลยครับ โปรดดูหนังเรื่องนี้โดยพลัน เพราะหนังเรื่องนี้ทำออกมาได้กลมกล่อมพอเหมาะ อร่อยกำลังดี และมีความสุขล้นยามได้ดู – ใครจะบอกว่าผมอวยนี่ผมคงไม่เถียงเลยนะครับ เพราะผมชอบหนังเรื่องนี้จริงๆ คือในใจนี่ยกให้เป็นหนังวันคริสต์มาสที่ดีที่สุดในรอบหลายปีเลย
โอเค ตอนเปิดเรื่องช่วงต้นๆ มันอาจจะยังเรื่อยๆ ครับ หรือการที่เราได้เห็นเหล่าเด็กๆ ตระกูลเฮิร์ดแมนออกฤทธิ์ออกเดช มันก็อาจทำให้เรารู้สึกไม่ชอบพวกเขาบ้าง แต่พอเราค่อยๆ ดูไป ค่อยๆ เก็บรายละเอียดไป เราก็จะเริ่มเข้าใจเด็กๆ กลุ่มนี้มากขึ้น คือพวกเขาก็เป็นตัวป่วนจริงๆ นั่นแหละครับ แต่มันมีที่มาที่ไป และท่านก็คงพอจะเดาได้น่ะนะครับว่า แม้เด็กกลุ่มนี้จะป่วนแค่ไหนก็เถอะ แต่การแสดงละครหนนี้จะต้องมีพลังทำให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงได้บ้างแหละ ซึ่งก็ใช่ตามนั้นครับ เป็นอย่างที่เราเดากันได้นั่นแหละ
ต้องยอมรับว่า Dallas Jenkins ทำหนังแนวนี้ขึ้นครับ ระยะหลังนี่เขาจะเน้นไปทำหนังเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ซะเยอะ ซึ่งก็คงเพราะความศรัทธาและความชื่นชอบของเขาด้วยนั่นแหละที่ทำให้เขาสร้างสรรค์หนังออกมาได้ดี ในขณะที่เรื่องนี้จะว่าไปก็มีกลิ่นอายความเป็นหนังศาสนาอยู่ครับ แต่ก็ไม่ได้มากเกินไป โดยรวมแล้วผมยังรู้สึกว่านี่เป็นหนังครอบครัวในวันคริสต์มาสมากกว่าจะเป็นหนังเชิงศาสนาครับ
ผมชอบการเล่าเรื่องที่เน้นความเรียบง่าย ไม่ปรุงเยอะ เล่าไปเรื่อยๆ แต่ตรงประเด็น ระหว่างทางเราจะค่อยๆ รู้จักกับตัวละครทั้งหลาย ไม่เพียงเฉพาะเด็กแสบทั้ง 5 แต่ยังรวมถึงครอบครัวของเบธและคุณพ่อคุณแม่รายอื่นๆ ที่ไม่ชอบเด็กๆ ตระกูลเฮิร์ดแมนด้วย ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ผมยินดีมากๆ เลยนะ เพราะระยะหลังนี่หนังคริสต์มาสส่วนใหญ่ที่ได้ดูนี่จะเป็นหนัง Hallmark หรือไม่ก็ Netflix ที่มันจะลงสูตรรอมคอมเสียส่วนใหญ่ (ประมาณว่าเด่นแค่พระนาง แต่คนรอบข้างไม่เด่น และเรื่องก็จะเน้นที่ความโรแมนติกมากกว่า) แต่กับเรื่องนี้นี่มันคือหนังครอบครัวแบบยุค 80 – 90 น่ะครับ – ส่วนหนึ่งก็คงเพราะตัวนิยายต้นฉบับนั้นเป็นของปี 1972 ด้วย บรรยากาศเก่าๆ เลยมาเยอะหน่อย และพอได้ผู้กำกับกับทีมงานที่ถนัดทำหนังแนวนี้ มันเลยออกมาดีอย่างที่เห็น
หนังมาพร้อมประเด็นดีๆ ที่สะท้อนให้เราเก็บไปคิดแบบตรงๆ ไม่ว่าจะเรื่องของเด็กๆ เฮิร์ดแมนที่เป็นผลพวงจากครอบครัวที่ไม่อบอุ่น บวกด้วยการที่ไม่มีผู้ใหญ่คอยชี้แนะนำทาง ชีวิตของพวกเขาเลยเข้ารกเข้าพงไปกันใหญ่ แต่พอพวกเขาได้เจอใจดีๆ และกว้างๆ ของเกรซ (รวมถึงสามีของเกรซและเบธ) มันก็เลยช่วยให้พวกเขาเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้
จริงๆ มันก็ไม่มีหลักประกันอะไรหรอกครับ ว่าทุกคนจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ คนบางคนแม้จะได้รับโอกาสแต่สุดท้ายก็ยังทำตัวเหมือนเดิม ก็มีให้เห็นอยู่มากมายในสังคม แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมว่าโลกที่ไม่มีใครพยายามช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่มีใครคิดส่งเสริมให้คนเปลี่ยนแปลไปในทางที่ดีขึ้นเลย หรือไม่มีใครคิดจะให้โอกาสใครเลยเนี่ย โลกแบบนั้นคงน่าอยู่น้อยลงนะครับผมว่า
ไม่มีอะไรรับประกันว่าผลแห่งการทำดี จะได้มาซึ่งผลดีเสมอไป แต่มันก็ยัง 50/50 นะครับ แต่ถ้าทุกคนพากันทำสิ่งไม่ดีต่อกันเป็นหลัก ไม่เห็นหัวเห็นใจซึ่งกันและกันแล้ว อันนี้แหละโอกาสที่โลกจะเต็มไปด้วยเรื่องแย่ๆ คงมาแบบเต็มร้อยแน่นอน
ประเด็นหนึ่งที่ผมชอบมากคือ เราจะได้เห็นพ่อแม่ของเด็กคนอื่นๆ มักจะเพ่งโทษมองว่าเด็กๆ เฮิร์ดแมนคือตัวปัญหา ซึ่งมันก็จริงแหละครับ หลายครั้งเด็กๆ ก่อปัญหาจริงๆ แต่ขณะเดียวกันพ่อแม่เหล่านั้นก็ไม่คิดจะช่วยแก้ไขหรือยื่นมือมาทำอะไรสักอย่าง เหมือนตั้งท่าคอยบ่นแล้วก็รอที่จะบ่นต่อในรอบหน้าแค่นั้น – นี่ก็สะท้อนความจริงอีกด้านของคนในสังคมที่ชอบบ่น แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ช่วยลงมือทำอะไรจริงจัง
ฉากหนึ่งที่สะท้อนประเด็นนี้ได้ดีคือตอนที่เกิดเหตุไฟไหม้ในโบสถ์ แล้วใครต่อใครก็พากันลือไปว่า “นี่ไง มันต้องเป็นฝีมือเด็กๆ เฮิร์ดแมนแน่นอน!” คือลือกันเสียงดังจนเด็กๆ เฮิร์ดแมนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี แต่สุดท้ายเจ้าหน้าที่ก็มาแจ้งว่า มันเกิดเหตุจากอย่างอื่นต่างล่ะ (มันเกิดจากผู้ใหญ่นั่นแหละ ไม่ใช่เด็กหรอก) เท่านั้นล่ะครับ คนที่บ่นคนที่ลือเมื่อกี้ก็พากันเงียบกริบ แล้วก็ทำเป็นลืมๆ ว่าเมื่อกี้ตนบ่นตนลืออะไรไป และทำให้เด็กๆ เฮิร์ดแมนรู้สึกแย่เพียงไหนในสิ่งที่พวกเขาไม่ได้ทำ
แล้วเบธที่เห็นเหตุการณ์โดยตลอดก็หันไปถามแม่ว่า “นี่ไม่มีใครคิดจะขอโทษเลยเหรอคะ?”… บอกตรงๆ ว่าอยากเดินเข้าจอไปบอกเบธว่า “อย่าแปลกใจเลยหนู พี่ก็เคยเจอและเคยรับรู้เรื่องทำนองนี้อยู่บ่อยๆ นั่นแหละจ้า”… แล้วผมก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ…
ถึงตอนนี้ ผมเชื่อว่าหลายคนคงมีคำถามว่า “แล้วผมน้ำตาไหลไหมตอนดูหนังเรื่องนี้?” ก็ตอบแบบตรงๆ เลยครับว่า “จะเหลือเหรอครับ” ผมนี่จำสเต็ปตัวเองได้เลยนะ พอถึงฉากที่ว่านี่ ตอนแรกแค่น้ำตาซึมก่อน แต่ยังครับ ยังไม่ไหล ยังพยายามกลั้น แต่พอถึงจุดหนึ่งหนังทะลวงจุดภายใน ทำเอาสะอื้นเลยครับ ทีนี้น้ำตาไหลพราก มาตามคิวจนได้
ผมน้ำตาซึมตอนฉากไคลแม็กซ์ อันเป็นการแสดงละครรอบจริงนั่นแหละครับ ซึ่งอย่างแรกเลยที่ผมชอบคือมันไม่ปรุงมากครับ คือการนำเสนอฉากที่ว่านี้มันสามารถบิ้วได้ สามารถเค้นอารมณ์คนดูให้ฟูมฟายหนักเลยก็ได้ แต่หนังไม่พยายามทำแบบนั้นครับ ผู้กำกับ Jenkins แกเล่าแบบเรียบๆ เรื่อยๆ แต่ครบในเชิงรายละเอียด ประมาณว่าถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นในโลกจริงๆ มันก็จะประมาณนี้แหละ ดูเป็นธรรมชาติดี (แต่ก็ไม่ใช่ว่าธรรมชาติ 100% น่ะนะครับ เพราะมันเป็นหนังน่ะ ก็ต้องมีโทนความเป็นหนังอยู่บ้าง)
ครับ ซีนการแสดงน้ำตาซึมไปแล้ว ส่วนซีนที่กลั้นไม่อยู่นั้นคือซีน “แฮม” ครับ “แฮม” นี่แหละที่ทำเอากลั้นไม่อยู่ – อยากรู้ต้องไปลองดูกันครับ แต่ผมจะสปอยล์เอาไว้นะ ใครไม่มีปัญหากับการรู้ล่วงหน้าก็ตามมาอ่านกันได้ครับ
=====================
==== โซนสปอยล์ครับ ====
=====================
ซีน “แฮม” นี่ ที่มันกระทุ้งอารมณ์ผมได้แบบสุดๆ ก็เพราะหนังปูมาดีครับ ตอนแรกก็เล่าก่อนว่าเด็กๆ เฮิร์ดแมนน่ะเป็นครอบครัวยากจน ไม่มีเงินกินของดีๆ แต่ละวันนี่มีข้าวกินก็บุญโขแล้ว แต่มันจะมีอยู่ช่วงหนึ่งของปีครับ ที่พวกเขาจะได้ของดีมากินสักหนึ่งครั้ง นั่นคือช่วงวันคริสต์มาสครับ ประมาณว่าในเมืองมีการจัดประเพณี “ซานต้าลับ” ให้คนในเมืองเอาของไปแจกจ่ายให้กับคนด้อยโอกาส แล้วก็พอดีที่ซานต้าลับของเด็กๆ เฮิร์ดแมนก็คือสามีของเกรซนั่นแหละ และปีนี้ของที่เขาเอาไปให้คือ “แฮม” ครับ แฮมชิ้นโตที่พอกินได้ทั้งบ้าน
แล้วหนังก็ทำให้เรารับรู้ครับว่า สำหรับเด็กๆ แล้ว แฮม คือที่สุดของของขวัญ คือที่สุดแห่งของล้ำค่า คือที่สุดแห่งปี คือ Moment of the Year และมันคือที่สุดที่พวกเขาจะไม่ยอมให้ใครมาแย่งเด็ดขาด – จริงๆ คือพวกเขาแทบจะแย่งกันเองด้วยซ้ำน่ะครับ
แต่แล้วในการแสดงละคร 3 พี่น้องผู้ชายของเฮิร์ดแมนต้องแสดงเป็น 3 โหราจารย์ที่นำของมานมัสการพระเยซูใตคืนที่พระองค์ประสูติ ซึ่งตามตำนานแล้วของ 3 สิ่งนั้นก็จะได้แก่ ทองคำ, กำยาน และมดยอบ (myrrh) ซึ่งตอนซ้อมแสดงพวกเขาก็ซ้อมด้วยสิ่งของเหล่านี้เรื่อยมา แล้วบางครั้งก็มีคำถามด้วยว่า “ทำไมต้องเป็นของพวกนี้? ทำไมไม่เป็นอย่างอื่น?”
และแล้วในฉากการแสดงจริงนั้น พี่น้องทั้ง 3 ก็เดินเข้าฉากมา แต่พวกเขาไม่ได้ถือของ 3 สิ่งนั้นครับ… สิ่งที่ 3 พี่น้องถือมาคือ “แฮม” ครับ… ใช่ครับ แฮมชิ้นที่พวกเขาได้รับไปนั่นแหละ
เหตุผลที่ผมสะอื้นก็คงเพราะว่า ฉากนี้มันสื่อชัดมากๆ น่ะครับ ว่าเด็กๆ ได้นำสิ่งที่มีค่าที่สุดของพวกเขา มามอบให้ทารกพระเยซู – คือนี่ไม่ใช่แค่การแสดงสำหรับพวกเขาแล้วครับ แต่มันคือการแสดงออกเลยว่าเด็กๆ ให้ความสำคัญกับการแสดงนี้ขนาดไหน และเขาเห็นคุณค่าของเรื่องราวมากขนาดไหน…
ซีนแสดงละครนี่ผมน้ำตามาเป็นพักๆ เลยครับ แต่แฮมนี่หนักสุดแล้ว คือพยายามกลั้นไว้ไม่ร้อง แต่พอเจออันนี้คือการ์ดแตกครับ เขื่อนแหลกไปเลย แล้วถัดจากนั้นก็ยังมีอะไรซึ้งๆ อีกหลายสิ่ง อันนี้ใครดูแลวก็คงพอทราบ แต่ใครยังไม่ดู ผมว่าไปดูเอง ซึมซับเองน่าจะดีกว่าครับ
=====================
==== หมดสปอยล์ครับ ====
=====================
หนังเรื่องนี้ถือว่าโดนใจผมในหลายภาคส่วนครับ แนวก็โดน พล็อตก็โดน การเล่าเรื่อง การนำเสนอ การปรุงแบบไม่เน้นปรุง ทั้งหมดมันพอเหมาะพอดี แต่ก็นั่นแหละครับ ผมไม่อาจรับประกันได้หรอกว่าท่านจะชอบหนังเรื่องนี้เหมือนผมไหม ได้แต่คาดเดาเป็นเลาๆ ว่า คนที่ชอบหนังแนวนี้ก็น่าจะชอบเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย แต่หากใครไม่ทางเลยสำหรับหนังครอบครัวหรือหนังคริสต์มาส จะข้ามไปก็ไม่ว่ากันครับ
ส่วนเรื่องรายได้นั้น หนังทำเงินรวมแล้วได้ $40 ล้านครับ ในขณะที่ทุนสร้างอยู่ที่ $20 ล้าน ดังนั้นหนังก็ถือว่าพอจะโปะทุนได้ แล้วกำรี้กำไรก็ค่อยไปหาเอาตอนลงสตรีม
สรุปว่าหนังเรื่องนี้ถูกใจผมมากครับ และผมคงเอามาดูซ้ำอีกเรื่อยๆ ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส คู่กับหนังคริสต์มาสที่ผมโปรดปรานอย่าง Miracle on 34th Street (เวอร์ชั่นปี 1994 นะครับ – อันนี้ชอบเป็นการส่วนตัวจริงๆ)
และที่สำคัญคือ หนังทำให้เราตระหนักถึงคำว่า “โอกาส” ครับ ไม่ว่าจะเป็นการได้รับโอกาสหรือการให้โอกาสกับใคนอื่น มันเป็นสิ่งที่ทรงพลัง และมันอาจเปลี่ยนโลกได้
ผมเลยอยากขอโอกาสให้หนังเรื่องนี้ ลองชมกันดู สักครั้งนะครับ
สามดาวครับ
(8/10)













