Comedy

Dr. Otto and the Riddle of the Gloom Beam (1985) ด็อกเตอร์แอ๊บ แสบเต็มสูตร

หลังจากปรากฏตัวจนผู้ชมจำได้และมีการทำหนังเรื่องยาว (ขนาดกลางๆ) ออกมาแล้ว ก็ได้เวลาสำหรับหนังยาวแบบเต็มตัวครับ – เพียงแต่ผลที่ออกมาอาจจะผิดจากที่คาดไปสักหน่อยเท่านั้นแหละ

ที่ว่าผิดคาดคือหนังเรื่องนี้ไม่ได้มีตัวเอกเป็นเออร์เนสต์ พี วอร์เรลล์ครับ แต่พี่ Jim Varney ก็ยังคงนำแสดง และผู้กำกับก็ยังคงเป็น John R. Cherry III แต่เนื้อเรื่องมันจะออกแนวไซไฟผสมสยองหน่อยๆ (แม้โทนหลักยังคงเน้นความเบาสมองก็ตาม) และพี่ Jim ก็มารับบทเป็น ดร. อ็อตโต้ วอน ชนิค วายร้ายสุดคลั่งที่มีมืออยู่กลางหัว และแผนของเขาคือทำลายระบบเศรษฐกิจของโลกให้พังพินาศเพื่อตอบสนองความต้องการอันชั่วร้ายของตนเอง

ทีนี้ทางการก็เลยส่งคนดีศรีอเมริกาอย่าง แลนซ์ สเตอร์ลิง (Myke R. Mueller) ชายที่เกิดวันเดียวกันและโรงพยาบาลเดียวกันกับ ดร. อ็อตโต้ให้มาออกโรงสยบวายร้ายรายนี้ซะ โดยมีผู้ช่วยหญิงอย่าง ดอริส (Jackie Welch) คอยประกบ (แต่เจ๊แกจะดูมีสติมากกว่าแลนซ์อีกนะ)

และเมื่อ ดร. อ็อตโต้ทราบเข้า เขาก็เลยพาตัวเองเข้าเครื่องจักรพิสดารที่ชื่อ Changing Coffin ที่สามารถแปลงร่างเป็นคนอื่น แล้วเขาในร่างคนอื่นก็จะคอยดักพวกแลนซ์เอาไว้ และคอยหาทางขัดขวาง – ซึ่งจุดประสงค์หลักก็เพื่อให้พี่ Jim แกสามารถรับบทเป็นตัวละครที่หลากหลาย ตามสไตล์ของพี่แกนั่นแหละครับ

ยอมรับว่าตอนดูรอบแรกนี่ผมงงมาก คือผมดูเรื่องนี้หลังจากดูหนัง Ernest ไปหลายตอนแล้ว และที่เอาเรื่องนี้มาดูก็เพราะคิดว่ามันคือหนัง Ernest อีกตอนหนึ่ง ซึ่งมันก็อยู่ในจักรวาลเดียวกันน่ะครับ แต่เนื้อเรื่องมันดันออกแนวไซไฟหลอนๆ แม้จะเบาสมองก็เถอะ แต่หลายอย่างในเรื่องก็หลอนนะ เอาแค่ตัว ดร.อ้อตโต้ที่มีมือกระดิกไปมาอยู่กลางหน้าผากนี่ผมก็ว่าน่ากลัวไม่น้อย แล้วการเดินเรื่องยังออกแนวงงๆ อีกต่างหาก ตอนที่ดูรอบแรกผมเลยไม่ใคร่จะชอบเรื่องนี้สักเท่าไร

ครั้นเอามาดูตอนโต ในแง่ความชอบก็ยังเหมือนเดิมครับ นั่นคือไม่ได้ชอบสักเท่าไรหรอก แต่มันก็เข้าใจอะไรหลายๆ อย่าง และเก็ทหลายๆ มุกมากขึ้น อย่างตอนฉากไตเติ้ลนี่ ดูแล้วรู้เลยครับว่าหนังล้อสไตล์ James Bond 007 อย่างเพลงก็ทำให้นึกถึงบอนด์นอกทำเนียบตอน Never Say Never Again ส่วนโทนเรื่องจริงๆ ก็เหมือนล้อเจมส์ บอนด์นะครับ โดยตัวเอกคือแลนซ์และตัวร้ายคือ ดร.อ็อตโต้ที่มาพร้อมแผนระดับโลก มันคือหนังล้อสายลับปราบผู้ร้ายนั่นแหละ เพียงแต่จะนำเสนอแบบเพี้ยนๆ ต๊องๆ เท่านั้นเอง

พอลองค้นข้อมูลก็พบว่า จริงๆ ตอนแรก Cherry น่ะจะทำหนังออกมาในโทนครอบครัว เพราะเขาเล็งเห็นว่าฐานแฟนคลับของ Ernest น่ะคือเด็กๆ เลยจัดแจงตัดต่อหนังฉบับแรกออกมา แต่พอฉายทดลองกลับกลายเป็นว่าเด็กๆ ดูแล้วไม่ค่อยชอบและไม่ค่อยเก็ทเรื่องราวสักเท่าไร จนตอนแรกที่หนังจะฉษยช่วงซัมเมอร์ปี 1985 ก็ต้องเลื่อนมาเพราะต้องเอาหนังมาถ่ายทำใหม่ ทีนี้ Cherry ตัดสินใจที่จะทำหนังให้โทนออกมาเน้นวัยรุ่นและผู้ใหญ่ซะเลย แล้วหนังก็สำเร็จออกมาเป็นแบบที่เราดูกันนั่นแหละครับ

จริงๆ ก็พอเข้าใจน่ะนะครับ ว่าพวกเขาอาจจะอยากทำหนังที่มันแตกต่างจากความเป็น Ernest ไม่อยากย่ำอยู่กับที่ แต่ผลที่ออกมามันก็ยังไม่กลมกล่อมนัก คือมันก็ดูเพี้ยนและประหลาดอยู่ล่ะครับ แต่ในแง่ความสนุกมันไม่เยอะ แม้พี่ Jim จะแสดงความเพี้ยนออกมาหลากหลายคาแรคเตอร์ก็เถอะ แต่ธีมหนังและโทนหนังมันไม่ค่อยจะเวิร์ก เพราะหนังจะไซไฟก็ไม่เชิง (แต่มันก็ไซไฟนะ) จะหลอนก็ไม่เชิง (แต่มันก็หลอนนะ) จะตลกก็พอได้ (แต่มุกก็ค่อนข้างยากแก่การเก็ทอยู่เหมือนกัน) กล่าวคือ หลายอย่างมันยังไม่เข้ากันเท่าที่ควรน่ะครับ

แต่กระนั้นหนังก็ไม่เจ๊งนะครับ หนังลงทุนไปราว $800,000 เหรียญ และพอจะได้ทุนคืนจากการขายวีดีโอ (เพราะฐานแฟนๆ Ernest หรือพี่ Jim Varney ในสมัยนั้นนับว่าเยอะอยู่) ส่วนกำไรนั้นว่ากันว่าไปได้แบบเป็นกอบเป็นกำตอนเอาหนังไปวางจำหน่ายที่สหราชอาณาจักรและญี่ปุ่น โดยเปลี่ยนชื่อเป็น Never Get Poop on Your Shoes (ชือ่ไปคนละเรื่องเลยครับ) ซึ่งหนังก็ได้ทำเงินได้มาก ชนิดที่มากกว่ารายได้ในอเมริกาอีกครับ

ผมนั้นดูหนังเรื่องนี้ 2 ครั้งครับ ครั้งแรกก็คือตอนสมัยโน้น ที่ตามดูเพราะมันคือผลงานของ Jim Varney แล้วก็มาดูอีกรอบตอนนี้นี่แหละ ซึ่งผมก็คิดว่าตัวเองคงหยุดการดูหนังเรื่องนี้เพียงที่ 2 รอบน่ะครับ เพราะหนังมันยังไม่โดนสักเท่าไร ผมว่าพวกหนังตระกูลบ๊องส์ของ Ernest นั้นยังดูสนุกและกลมกล่อมกว่ากันเยอะ

เกร็ดที่อยากจะฝากไว้ก็คือ Bill Byrge ที่มักจะรับบทบ็อบบี้ในหนังชุด Ernest นั้น มาปรากฏตัวในหนังชุดนี้เป็นครั้งแรกที่นี่ครับ มาเป็นพนักงานปั๊มที่บอกลูกค้าว่า “ครั้งหน้าคุณพกเงินสดจะดีกว่านะ” เขาคนนี้แค่เห็นหน้าก็จำได้ทันทีครับ

ก็ต้องแล้วแต่ละนะครับ ถ้าว่ากันตามจริงเรื่องนี้ผมก็คงไม่แนะนำสำหรับคนดูทั่วไป เพราะมันยังไม่เพลิน ยังไม่สนุกนัก แต่สำหรับคนที่ชอบหนังชุด Ernest หรือชอบพี่ Jim Varney หากจะตามมาดูให้ครบชุดก็โอเคครับ ไม่ว่ากัน เผื่อมันอาจจะโดนใจท่าน – แต่สำหรับผมแล้ว หนังถือว่ากลางๆ ครับ ข้อดีของมันคือได้เห็นการแสดงเพี้ยนๆ หลากลีลาตามสไตล์พี่ Jim เขานี่แหละ

ดาวครึ่งกว่าๆ ครับ

(5.5/10)