Action

Troy (2004) ทรอย

หนังสงครามจากมหากาพย์ระดับตำนานของ Homer เรื่องเริ่มต้นเมื่อ เจ้าชายปารีส (Orlando Bloom) แห่งทรอย ตกหลุมรักพระนางเฮเลน (Diane Kruger) แห่งสปาร์ตา เลยแอบพาหนีมาจนส่งผลให้พระเจ้าเมเนเลอัส (Brendan Gleeson) ทรงพิโรธและหมายจะทวงนางคืน เลยไปขอแรงจากกษัตริย์อกาเมมนอน (Brian Cox) แห่งไมซีเน ที่หมายมั่นจะโจมตีทรอยอยู่แล้ว แล้วในที่สุดมหาสงครามแห่งกรุงทรอยก็บังเกิดขึ้น

ไฮไลท์ของหนังฟอร์มยักษ์ระดับนี้ อย่างแรกเลยคือดาราที่ขนระดับแถวหน้ามากันเพียบครับ นอกจากที่เอ่ยไปแล้วก็ยังมี Brad Pitt ในบทผู้กล้าอคิลลีส, Eric Bana เป็นเจ้าชายเฮคเตอร์แห่งทรอย, Sean Bean เป็นโอดิสซิอุส, Julie Christie เป็นเทพีธีทิส มารดาของอคิลลิส และที่ลืมไม่ได้คือ Peter O’Toole ในบท กษัตริย์พรีแอมที่บอกเลยครับว่าดาราท่านนี้ขึ้นจอเมื่อไรก็ขโมยซีนได้เมื่อนั้น พลังท่านเยอะจริงๆ

แล้วยังบวกด้วยดาราหน้าใหม่ (ในตอนนั้น) อย่าง Garrett Hedlund ในบท เพโตรคลัส น้องชายข้างกายอคิลลิส และ Rose Byrne ครับ รายนี้ตอนนั้นยังดูเด็กมากอยู่เลย

เหล่าดารานี่ถือว่าเป็นพลังหลักของหนังเลยครับ บวกด้วยงานสร้างที่ยิ่งใหญ่ งานภาพก็นับว่าออกมาดีครับ จากฝีมือของ Roger Pratt ผู้อยู่เบื้องหลังงานภาพเด่นๆ ใน Batman, Twelve Monkeys, Chocolat และ Harry Potter ภาค 2 กับ 4 ตามด้วยงานดนตรีโดย James Horner ผู้ล่วงลับ ซึ่งตอนต้นๆ ของหนังนี่ดนตรีอาจยังไม่เท่าไรครับ แต่พอถึงฉากที่ทัพเรือของอกาเมมนอนกำลังตรงดิ่งมาเตรียมบุกกรุงทรอยนี่ ดนตรีจะค่อยๆ สำแดงพลัง แล้วทีนี้ก็ยิงยาวไปจนหนังจบเลยครับ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าดนตรีนี่เพิ่มอารมณ์ให้หนังได้ในหลายวาระจริงๆ

คนที่รับหน้าที่กำกับเรื่องนี้ก็คือ Wolfgang Petersen ที่ได้จากเราไปแล้วอีกเช่นกัน โดยส่วนตัวผมยกให้หนังเรื่องนี้เป็นงานชิ้นที่อยู่ในระดับดีจริงๆ เป็นเรื่องท้ายของเขาครับ คือมันอาจยังไม่ถึงระดับสุดยอดมากๆ น่ะนะ แต่ผมก็พูดได้เต็มปากเลยว่าหนังนั้นมีดี ทั้งดารา ทั้งงานสร้าง และการเล่าเรื่องที่จับเอาเหตุการณ์สำคัญๆ มาร้อยเรียงบอกเล่าได้อย่างน่าติดตาม แม้หนังจะยาว 163 นาทีแต่ผมกลับรู้สึกว่ามันกระชับนะ ไม่ค่อยมีฉากยืดเยื้ออืดอาดอะไร ส่วนใหญ่ก็เล่าแบบเนื้อๆ และดาราก็เล่นกันแบบเน้นๆ ด้วย หนังเลยไม่น่าเบื่อครับ

ในส่วนของแง่คิดนี่ แม้เรื่องราวจะโบราณนานแล้วก็ตาม แต่สาระก็ยังสามารถหยิบมาใช้ หยิบมาย้ำเตือนเราๆ ในยุคปัจจุบันได้ ไม่ว่าจะเรื่องการทำอะไรด้วยอารมณ์หรือด้วยความคิดแบบชั่วแล่น มันอาจนำพาเรื่องหายนะมาสู่ตัวเอง หรือที่แย่กว่านั้นคือพลอยทำให้คนอื่นๆ รอบตัวเราพลอยซวยไปด้วย

และอีกประเด็นที่ค่อนข้างเข้าตาผม คือเรื่องความเชื่อครับ หากสังเกตดีๆ ก็จะพบว่าหนึ่งในจุดอ่อนของฟากฝั่งเมืองทรอยนั้น คือการตัดสินใจที่หลายครั้งหลายหนจะเทน้ำหนักไปที่ความเชื่อเสียมาก จนบางครั้งก็มองเกมผิดเพราะมัวคิดว่าเทพเจ้าจะต้องช่วยฝั่งเราแน่ๆ จนขาดการประเมินที่รอบด้าน หรืออย่างกรณีม้าไม้เมืองทรอย ในหนังฉบับนี้ก็แสดงให้เห็นครับว่าบางทีความเชือนี่แหละที่มาบดบัง ทำให้คนมองข้ามบางสิ่งบางอย่างที่ควรสงสัยไป

ดูแล้วก็ชวนให้คิดครับว่า คนเรานั้นจะเชื่อจะมูน่ะ มันคือเรื่องส่วนบุคคลที่ผมจะไม่ขอก้าวล่วง แต่อย่างไรก็ควรเชื่ออย่างมีสติ เชื่อบนทางสายกลาง คือจะเอาความเชื่อมาช่วยนำทางบ้างมันก็ได แต่เราก็ควรเอาข้อเท็จจริงอื่นๆ มาคิดใคร่ครวญประกอบกัน เอามาเปรียบเทียบวิเคราะห์ช่างน้ำหนักให้เนำไปสู่ทางออกที่เหมาะสม – ข้อควรระลึกไว้ก็คือ อย่าหลับหูหลับตาเชื่อจนสุด

ผมชอบตอนที่เฮคเตอร์พูดว่า “บางครั้งเทพก็อวยพรเราในตอนเช้า แล้วก็สาปแช่งเราในตอนบ่าย” มันก็สะท้อนความจริงถืงคำที่ว่า “ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน” นั่นแล

สรุปว่าใครชอบหนังแนวย้อนยุคมหากาพย์ (Epic) แบบนี้ก็ควรลองลิ้มเรื่องนี้สักครั้งคราครับ ผมว่าหนังทำออกมาได้ดีเลยนะ ส่วนเรื่องรายได้นั้นก็ถือว่าพอไหวครับ หนังใช้ทุนสร้าง $175 ล้าน แต่ทำเงินในอเมริกาไปเพียง $133 ล้าน แต่ยังดีที่รายได้รวมทั่วโลกยังได้ไปถึง $497 ก็ถือว่าพอกำไรแต่ยังไม่ถึงขั้นถล่มทลาย

ส่วนผมนั้นอยู่ในข่ายชอบครับ ชอบดารา ชอบงานสร้าง ชอบการเล่าเรื่องที่กระชับตรงประเด็นและมาพร้อมแง่คิดทั้งเรื่องเกี่ยวกับชีวิต เรื่องเชิงการเมือง และการศึกสงคราม (ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้วิเคราะห์ในการทำธุรกิจได้) แม้หนังจะยังไม่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบ แต่ก็ถือว่าถึงฟอร์มและควรค่าแก่การชมครับ

สองดาวครึ่งบวกๆ ครับ

(7.5/10)