Action

Venom: The Last Dance (2024) เวน่อม มหาศึกอสูรอหังการ

ถ้าให้จำกัดความภาคนี้ ผมว่าทิศของหนังน่ะมาถูกทางครับ เพียงแต่ยังเล่าเรื่องได้ไม่ถึงรสเท่านั้นแหละ

ในขณะที่ภาคก่อนหนังจะมาในทรงซูเปอร์ฮีโร่ที่ตัวเอกต้องปะทะกับตัวร้ายแกร่งๆ แต่ภาคนี้หนังเลือกจะฉีกแนวออกไปโดยให้ตัวเอกออกผจญโลก สไตล์จะคล้ายๆหนัง Road Movie ครับ ตัวเอกเดินทางระหกระเหินไปเรื่อยๆ ระหว่างทางก็เจอคนนั้นคนนี้ซึ่งพวกสาระและแง่คิดดีๆ ก็มักจะโผล่มาตอนที่ตัวเอกเจอกับเหล่าตัวละครระหว่างทางนี่แหละ ซึ่งก็ถือว่าฉีกแนวสำหรับ Venom ครับ – แต่ถ้าถามว่ามันใหม่สดเลยไหมก็คงต้องตอบว่า “ไม่” เพราะซูเปอร์ฮีโร่ที่มาในอารมณ์นี้ก็เคยมีมาแล้ว ที่เด่นๆ เลยก็คือ The Incredible Hulk ฉบับซีรี่ส์ที่ ดร. แบนเนอร์ต้องเดินทางย้ายถิ่นไปเรื่อยๆ แล้วระหว่างทางก็ได้ช่วยคน พร้อมทั้งได้ประสบการณ์หรือหลักคิดอะไรบางอย่างติดหัวมา ก่อนจะบ่ายหน้าออกเดินทางต่อไป

จริงๆ คือผมชอบนะ ผมชอบทางแบบเนี้ย คือถ้าทำดีๆ หนังจะเป็นอะไรที่มากกว่าแค่หนังซูเปอร์ฮีโร่พิมพ์นิยม คือมันจะได้แง่คิด มันจะสะท้อนมิติตัวตนของตัวเอกได้อย่างลึกซึ้งและเปี่ยมสีสัน ซึ่งหนังน่ะมาถูกทางครับ แต่ปัญหาคือการเล่าเรื่องมันยังไม่ได้ หลายอย่างมันยังไม่สุด อย่างการที่เอ็ดดี้ (Tom Hardy) เจอครอบครัวมูนนักเดินทาง (นำโดย Rhys Ifans) จริงๆ มันยังเล่นอะไรได้อีกเยอะครับ

ผมชอบนะตอนที่เวน่อมพึมพำในหัวเอ็ดดี้ขณะที่ครอบครัวมูนกำลังร้องเพลงว่า “บางครั้ง… ฉันคิดว่าเราจะมีความสุขนะ ถ้ามีชีวิตแบบนี้… ว่ามั้ย?” อะไรแบบนี้แหละครับที่ผมอยากได้ เพราะสำหรับผมไฮไลท์หนึ่งของหนังชุด Venom นี่ก็คือการคุยกันในหัวระหว่างเอ็ดดี้กับเวน่อม มันมักเจือด้วยอารมณ์ขันและประเด็นที่น่าสนใจ ซึ่งจริงๆ ทางของหนังน่ะมันเหมาะกับอะไรแบบนี้เลยครับ แต่ก็กลายเป็นว่า มันไม่ค่อยมีโมเมนต์แบบที่ผมว่าสักเท่าไร

ส่วนหนึ่งอาจเพราะผู้กำกับครับ คนกุมบังเหียนเรื่องนี้คือ Kelly Marcel ซึ่งเธอกำกับเป็นหนแรกครับ ก่อนหน้านี้เธอคือคนเขียนบทหนังอย่าง Saving Mr. Banks, Cruella แล้วก็ร่วมเขียนบท/เกลาบทให้ Venom ทุกภาคเลย และกับผลที่ออกมาของหนังเรื่องนี้ จริงๆ มันก็ไม่แย่ครับ ถือว่าดูได้เรื่อยๆ แต่มันก็ยังไม่สุด มันรู้สึกว่าหนังยังมีอะไรได้อีก ตัวละครมีความลึกได้อีก และบางฉากก็ยังสุดได้อีก ยอมรับครับว่าก็แอบเสียดายเหมือนกัน เพราะถ้าหนังได้ผู้กำกับที่ชั่วโมงบินสูงกว่านี้ นี่อาจเป็น Venom ภาคที่ดีที่สุดไปเลยก็ได้ – อีกอย่างคือ Marcel เธอเป็นเพื่อนกับ Hardy มานานครับ ก็พอเข้าใจแหละที่เขาเลือกเธอมากำกับ แต่ใจก็คิดน่ะครับว่าถ้าเป็นคนอื่น หนังจะถึงกว่านี้ไหมหนอ

ครับ ตัวหนังโซนดราม่าผสม Road Movie ก็อย่างที่บอกไปว่ามาถูกทางแล้ว แต่ไปได้ไม่สุด ส่วนโซนแอ็คชั่น ผมว่าก็กลางๆ ครับ มันไม่ได้ดูเมามันส์หรือหวือหวาอะไรมาก ไปๆ มาๆ ผมว่าซีนแอ็คชั่น 2 ภาคก่อนยังดูเด่นกว่า และช่วงท้ายตัวละครมันยังมากันเยอะด้วยน่ะครับ มันเลยดูล้นๆ งงๆ (เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นใครบ้าง) เลยทำให้แอ็คชั่นที่ดูจะยิ่งใหญ่กลายเป็นออกมาแบบเรื่อยๆ

เมื่อมาคิดๆ ดูแล้ว ตรงส่วนทิศทางของหนังนี่ผมให้คะแนนบวกๆ เลยครับ แต่การนำเสนอมันค่อนข้างธรรมดา ไปได้ไม่สุดทั้งในส่วนของดราม่าและความมันส์ แต่ดาราในเรื่องนี่ไม่ใช่ปัญหานะ ผมว่าพวกเขาเล่นกันได้ดี แต่ยอมรับว่าแอบรู้สึกว่าตัวละครในแลปทดลอง (Chiwetel Ejiofor, Juno Temple) มันดูขาดๆ เกินๆ ยังไงก็ไม่รู้ ไม่ใช่เล่นไม่ดีนะครับ แต่มันรู้สึกเหมือนพวกเขาน่าจะมีอะไรมากกว่าที่เห็น และเหมือนว่าหลายฉากที่อธิบายความเป็นพวกเขามันถูกเฉือนออกไปจากหนัง

แต่ถ้าใครตามดูหนังชุดนี้มา 2 ภาคแล้ว ก็ควรตามดูต่อครับ ดูให้ครบชุดกันไป เพราะอย่างที่บอกน่ะว่าหนังไม่แย่ เพียงแต่มันยังไม่ถึงขั้นจับใจ ทั้งที่องค์ประกอบหลายอย่างมันสามารถทำให้ภาคนี้เป็นภาคที่เด็ดสุดได้ โดยรวมผมว่าหนังก็พอๆ กับภาค 2 น่ะครับ แต่ภาคแรกก็ยังโอเคที่สุดอยู่ดี

ในแง่รายได้ก็ไม่ขี้ริ้วครับ ยังกำไรอยู่ ทำไป $478 ล้าน คุ้มทุน $120 ล้านอยู่แล้วล่ะ แต่ถ้ามองจากตัวเลย ภาคนี้ก็กลายเป็นภาคที่ทำเงินน้อยที่สุดไป

สองดาวครับ

(6/10)