Comedy

Beetlejuice Beetlejuice (2024) บีเทิลจู๊ดส์ บีเทิลจู๊ดส์

หลายปีกว่าจะมีภาคต่อ ผมนี่ก็รอจนเงกเหมือนกันนะครับ เพราะมีข่าวแพลมออกมาเรื่อยๆ จนผมเองก็ทำใจแล้วล่ะว่าอาจไม่มีการทำภาคต่อออกมา แต่ในที่สุดวันนั้นก็มาถึงครับ แล้วหนังยังทำเงินแบบสาแก่ใจ โกยไป $451 ล้านจากทั่วโลก ซึ่งก็โคตรคุ้มทุนสร้าง $100 ล้านเป็นอย่างยิ่ง

แต่ได้ข่าวมาว่าตอนแรกผู้สร้างก็ยื่นข้อเสนอนะ ว่าถ้าทำเป็นหนังลงสตรีมทางนั้นจะให้ทุนเลยที่ระดับ $150 ล้าน แต่ยังไง Tim Burton และทีมก็ยังปักหลักที่จะเอาหนังเข้าโรงให้ได้ ทุนเลยลดเหลือ $100 ล้าน ซึ่งสำหรับผมมองว่าพี่แกก็กล้าดี และผมก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจนั้นครับ

ตัวหนังก็ถือว่าสนุกดีครับ ผมชอบนะ แน่นอนว่าไม่ได้ชอบมากเท่าภาคแรกที่เพี้ยนฮาบ้าได้กลมกล่อมและสด ส่วนภาคนี้จุดที่ชอบอย่างแรกคือได้ดาราดั้งเดิมมากันเกือบครบ ไม่ว่าจะ Michael Keaton (บีเทิลจู๊ดส์), Winona Ryder (ลีเดีย) และ Catherine O’Hara (ดีเลีย) ส่วน Alec Baldwin กับ Geena Davis ตอนแรกป๋า Tim ก็มีแผนจะให้กลับมาอย่างน้อยก็บทรับเชิญครับ แต่ป๋า Tim ก็มองว่าการใช้เทคนิคดิจิตัลแต่งหน้าให้อายุดูเท่ากับในภาคแรกมันอาจไม่เนียนพอ ก็เลยยกเลิกตรงนี้ไป

ส่วนอีกคนก็คือ Jeffrey Jones เจ้าของบท ชาร์ลส์ ดีซจากต้นฉบับก็ไม่ได้รับการเชิญให้มาเล่นเพราะ Jones มีกรณีฉาวเกี่ยวกับเรื่องทางเพศครับ ทีมงานเลยต้องหาทางออกอย่างที่เราเห็นในหนังไป

แล้วก็บวกด้วยดาราชุดใหม่อย่าง Jenna Ortega (แอสทริด ลูกของลีเดีย), Justin Theroux (รอรี่ คนที่จ้องแต่จะแต่งงานกับลีเดีย), Willem Dafoe (วูลฟ์ มือปราบจากนรก) และ Monica Bellucci (เดโลเรส เมียเก่าของบีเทิลจู๊ดส์) และเราจะได้เจอกับ Danny DeVito ด้วยในบทภารโรงโลกหลังความตายตอนต้นเรื่องน่ะครับ

เนี่ยครับ ทีมดาราถือว่าเวิร์ก ส่วนตัวหนังจริงๆ ก็สนุกดี สิ่งที่ผมชอบคือหนังสามารถเชื่อมเรื่องผูกเรื่องให้ไปกันได้กับภาคแรก มันดูเป็นจักรวาลเดียวกันน่ะครับ เลยดูได้แบบไหลๆ (ผมเอาภาคแรกมาดูก่อนอีกรอบ แล้วค่อยต่อด้วยภาคนี้น่ะครับ) แต่กระนั้นถ้าถามว่าเล่าเรื่องได้นิ้งไหม เชื่อมเรื่องได้เนียนไหม ก็คงต้องตอบว่ามีทั้งที่โอเคและยังดีได้อีก

คือโครงเรื่องน่ะโอเคครับ แต่การเล่าเรื่องบางอย่างก็ดูสั้นๆ ห้วนๆ รวบๆ รัดๆ แต่ก็เข้าใจได้เพราะรายละเอียดเอาเข้าจริงๆ ม้นก็เยอะนั่นแหละ แต่มันก็ต้องยอมรับน่ะครับว่าถ้าเป็นประเด็นฮาๆ หรือแฟนตาซีๆ น่ะยังพอได้ แต่ถ้าเป็นประเด็นพวกชวนซึ้ง ชวนให้กินใจ อันนี้ก็ต้องทำใจที่หนังสามารถเล่าได้ในระดับผิวๆ เท่านั้น อย่างเรื่องพ่อของแอสทริดที่จัดว่ามาเร็วเคลมเร็วจนเรายังไม่ทันได้รู้สึกอะไรเลย วาระนั้นก็ได้ผ่านพ้นไปซะแล้ว

และที่ออกจะเสียดายสุดคงเป็นตอนท้าย ณ สรุปของไคลแม็กซ์น่ะครับ รู้สึกมันหาทางลงง่ายจัง และง่ายก็ยังไม่พอ แต่มันยังซ้ำทางกับภาคต้นฉบับด้วย โดยเฉพาะตัวเดโลเรสที่อุตส่าห์ปูมา เราก็นึกว่าจะร้ายกาจปราบยาก แต่ไปๆ มาๆ ดันมาเร็วเคลมเร็วไปอีกรายซะแล้ว

ส่วนตัวผมรู้สึกว่าหนังภาคนี้เหมือนทีมงานและดารามาเพื่อเจอกัน สนุกกันระหว่างถ่ายทำเป็นหลัก ส่วนตัวหนังถือเป็นผลพลอยได้ 555

แต่จุดที่ชอบก็มีนะครับ อย่างเหตุผลที่ทำให้แอสทริดต้องไปข้องแวะกับโลกหลังความตายนี่ก็เข้าท่าดี อาจไม่แปลกใหม่ แต่หนังก็นำเสนอได้เข้าท่า

โดยรวมผมก็ยังสนุกกับหนังครับ ถ้าถามความรู้สึกก็เทไปทางชอบมากกว่าไม่ชอบ เพียงแต่มันยังไม่สุดเท่านั้นแหละ โดยเฉพาะตอนท้ายที่ลงเอยง่ายจัง ในแง่หนึ่งก็คิดน่ะนะครับว่าสงสัยคนเขียนบทอย่าง Alfred Gough และ Miles Millar ใส่ไอเดียลงในหนังเรื่องนี้แค่เพียงระดับหนึ่ง ไม่ปล่อยหมด เพราะพวกเขาต้องใช้พลังไอเดียในการสร้างสรรค์ซีซั่น 2 ของ Wednesday ไปด้วย – อันนี้เดาครับ อันนี้เดา – หรือไม่ก็เผื่อไว้ เก็บไว้เผื่อมีภาค 3 ตามมาอีก อันนี้ก็ต้องรอดูกันไป

แต่อย่างหนึ่งที่รู้สึกระหว่างดู อันนี้ดีหรือไม่ดีก็ไม่รู้ แต่ผมรู้สึกกับตัวละครดีเลียที่ O’Hara แสดงน่ะครับ คือเธอแสดงดีนะ แต่เผอิญว่าก่อนหน้านี้ไม่กี่ปีผมเพิ่งดูซีรี่ส์ Schitt$ Creek ที่เธอแสดงไว้ 6 ปี และผมสารภาพว่าบางทีก็แยกไม่ออกว่าตัวละครตรงหน้าที่เห็นในหนังน่ะ เธอคือดีเลียหรือมอยร่า (ตัวละครที่เธอแสดงใน Schitt$ Creek) กันแน่ เพราะคาแรคเตอร์ ความเว่อร์วัง และปากคมๆ มันเหมือนกันจังเลยแฮะ – อันนี้คิดส่วนตัวครับ แต่เอามาแบ่งปัน เผื่อใครที่ดู Schitt$ Creek มาเหมือนผมจะรู้สึกเหมือนกันบ้าง

สรุปว่า หนังสามารถสานต่อความสนุกจากภาคแรกได้ไม่เลวครับ ดูแล้วก็เพลินดี ได้อารมณ์เพี้ยนๆ รั่วๆ ตามสไตล์ป๋า Tim – ว่างๆ ผมก็คงเอาทั้ง 2 ภาคมาดูซ้ำอีกครับ

สองดาวครึ่งได้ครับ

(7/10)