จัดเป็นหนังสำหรับเด็กครับ กับเรื่องราวการผจญภับของหนูน้อยวัย 10 ขวบ ที.เอส. สปิเว็ท (Kyle Catlett) เด็กอัจฉริยะที่สามารถประดิษฐ์สิ่งของสุดล้ำจนทำให้สถาบันสมิธโซเนี่ยนยกรางวัลอันดับ 1 ให้ และได้โทรมาเชิญเขาไปยังสถาบันเพื่อรับรางวัลและแสดงสุนทรพจน์
แต่ด้วยความที่คนในครอบครัวของเขา ไม่ว่าพ่อ (Callum Keith Rennie), แม่ (Helena Bonham Carter) หรือพี่สาว (Niamh Wilson) ต่างก็คงไม่เห็นด้วยและคงไม่ยอมให้เขาได้ไปแน่ เขาเลยตัดสินใจหนีออกจากบ้านที่มอนทาน่า แล้วเดินทางไปยังวอชิงตัน ดีซี ด้วยตนเองซะเลย – นั่นล่ะครับ การผจญภัยมันก็เริ่มตรงนั้นล่ะ
เป็นงานกำกับของ Jean-Pierre Jeunet ครับ เจ้าของผลงานจินตนาการเยอะๆ อย่าง Delicatessen, The City of Lost Children, Amelie และพี่เขายังเคยทำ Alien: Resurrection ด้วย สำหรับเรื่องนี้หนังก็ออกมาในโทนเด็กๆ น่ะครับ ใสๆ ดูง่าย เล่าง่าย เรื่องราวไม่ซับซ้อน ความยาวก็ไม่มาก (แค่ 100 นาทีหน่อยๆ เท่านั้น) ซึ่งหนังก็ดัดแปลงมากจากหนังสือของ Reif Larsen อีกทีครับ
ผมก็ดูหนังเรื่องนี้แบบเพลินล่ะครับ เพราะชอบหนังแบบนี้อยู่แล้ว หนังมาพร้อมภาพสวยๆ วิวงามๆ ให้อารมณ์เหมือนอ่านหนังสือเด็กแล้วมีภาพประกอบน่ะครับ ภาพมันจะดูสวยแบบศิลป์ๆ สีจะสดๆ บวกด้วยดนตรีได้อารมณ์คันทรี่ๆ ของ Denis Sanacore เข้าไปอีก มันเป็นอะไรที่กลมกล่อมมากทีเดียว
หนังก็เดินเรื่องแบบเล่าไปเรื่อยๆ จัดว่าน่าติดตามพอตัวครับ ช่วงที่ที.เอสต้องผจญภัยก็ถือว่าดูสนุกอยู่ มีความลุ้นเป็นพักๆ แล้วก็ตามสูตรครับที่ระหว่างทางเขาจะได้เจอกับคนหลายรูปแบบ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มี ทูคลาวด์ส ชายที่ที.เอส เจอตรงชุมทางรถไฟ บทนี้แสดงโดย Dominique Pinon ดาราขาประจำของ Jeunet เขา รายนี้มาไม่นานแต่ก็ขโมยซีนไปไม่น้อย
นี่อาจไม่ใช่หนังที่มีเนื้อหาลึกล้ำอะไรน่ะนะครับ แต่การเล่าเรื่องมันพอดี มันกลมกล่อมในแบบของมัน ส่วนแง่คิดสำคัญๆ ก็คือการกระตุ้นให้เราตระหนักถึงความสำคัญของคนในครอบครัวน่ะครับ ซึ่งภาพของครอบครัวในหนังเรื่องนี้เราจะเห็นว่า แต่ละคนดูเหมือนจะมีความสนใจกันไปคนละอย่าง อย่างพ่อก็สนใจเรื่องแบบคาวบอยๆ ส่วนแม่ก็สนใจเรื่องแมลง ในขณะที่พี่สาวนี่ก็สนใจไปตามกระแสและช่วงวัย (บางครั้งก็สนใจเรื่องเสรีภาพ แต่บางทีก็อยากไปประกวดนางงาม)
ก็เหมือนหนังจะบอกเป็นนัยๆ น่ะครับว่า แม้คนในครอบครัวจะสนใจเรื่องต่างกันแค่ไหน แต่เราก็ไม่ควรเอาแต่หมกมุ่นจมจ่อมอยู่กับสิ่งที่เราสนใจมากจนลืมคนอื่นในครอบครัวไป คือสนใจน่ะได้ครับ แต่อย่าปล่อยให้มันกลายเป็นกำแพงกั้นเรากับคนในครอบครัวออกจากกัน – อย่าลืมแบ่งเวลามาหันหน้าเข้าหากัน มาใส่ใจห่วงใยกัน หรือจะแบ่งปันสิ่งที่เราชอบให้คนอื่นๆ ได้สัมผัสบ้างก็ได้ แต่อย่าเพิ่งตัดเราจากเขาหรือตัดเขาจากเราเพียงเพราะคนละวัยกันหรือเพราะสนใจคนละอย่างกัน
หนังมีซีนที่โดนใจผมอยู่ซีนหนึ่งครับ ตอนที่ที.เอส. นอนอยู่คนเดียวบนรถไฟ ขณะที่มันกำลังแล่นไปในยามค่ำคืน ที.เอส. ก็คิดขึ้นมาว่า ณ ตอนนี้อาจมีเด็กที่ตื่นเพราะเสียงรถไฟขบวนที่เขาอยู่นี่แล่นผ่าน และเด็กคนนั้นอาจคิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ – อยากบอกว่าบางทีผมก็เป็นครับ เวลาเดินทางไปไหน เช่น นั่งรถไปต่างจังหวัด บางทีผมก็จะคิดนะว่าคนที่อยู่ในบ้านตอนนี้ บ้านที่รถเราเพิ่งผ่านไปนี้ เขาจะคิดเรื่องอะไรอยู่ เขาจะสังเกตถึงรถของเราที่เพิ่งผ่านไปไหมนะ
หรือบางทีตอนผมอยู่บ้าน แล้วมีรถทัวร์แล่นผ่านไป ผมก็คิดครับว่า คนบนรถนั้นกำลังจะไปไหนนะ – ในขณะที่เรากำลังอยู่บ้านและมองออกไปนั้น คนบนรถนั้นเขาจะอยู่ห่างจากบ้านมากน้อยเพียงไร เขาจะคิดถึงบ้านไหม?… ก็เป็นห้วงความคิดที่ผมอยากบันทึกไว้น่ะนะครับ เพราะไม่บ่อยหรอกที่ห้วงความคาดของตัวละครมันจะคล้ายกับห้วงความคิดที่เคยมีในหัวเรา
ขอสรุปแบบนี้นะครับ ถ้าท่านเป็นแฟนหนังของ Jeunet ก็อยากให้ลองตามมาดูครับ บอกก่อนว่าความเจ๋งความเยี่ยมมันอาจไม่เท่ากับงานชิ้นก่อนๆ ของเขา แต่ก็ถือว่าน่าพอใจและไม่ไก่กาครับ หรือท่านที่ชอบหนังประเภทเด็กๆ ผจญภัย หรือหนังที่สร้างจากวรรณกรรมเยาวชน เรื่องนี้ก็น่าลองครับ มันอาจไม่สุดยอดนะ แต่ผมว่าหนังก็ยังสามารถตอบโจทย์ทั้งแง่คิดดีๆ และความบันเทิงได้ไม่เลวเชียวล่ะ
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)
หมวดหมู่:Adventure, Comedy, Drama, Family, Movie Reviews, Recommended Movies












