
อย่างที่หลายๆ ท่านทราบว่าผมเป็นคนชอบหนังวันคริสต์มาสครับ คือต้องหามาดูตลอดทุกปีๆ แต่ก็ต้องว่าตามจริงว่าหนังคริสต์มาสยุคใหม่ๆ ส่วนใหญ่มันไม่จับใจผมเท่าสมัยก่อน พูดแบบตรงๆ เลยคือหนังคริสต์มาสยุคใหม่ส่วนใหญ่ทำออกมาเพื่อป้อนตลาด แล้วทำแบบเน้นจำนวน อารมณ์เหมือนขนมหรืออาหารที่บริษัทใหญ่ๆ ผลิตออกมาคราวละมากๆ แล้วหน้าตาก็เหมือนๆ กันไปหมด สูตรที่ใช้ทำก็เหมือนๆ กัน จนขาดความหลากหลาย
อย่างหนังรอมคอมคริสต์มาสยุคใหม่ จริงๆ มันก็ดูเพลินน่ะครับ แต่ระหว่างดูก็คิดถึงหนังคริสต์มาสยุคก่อนที่มันมีอะไรมากกว่าแค่เรื่องความรักหนุ่มสาว อย่างเรื่องนี้ก็ถือเป็นตัวอย่างของหนังคริสต์มาสยุคก่อนที่อาจจะไม่ดีเด่ลงตัวแบบสุดๆ แต่ก็ถือว่ามีรสเฉพาะตัว มีอะไรให้ระทึกถึงหลังดูจบ
พล็อตว่าด้วยคืนคริสต์มาสที่แสนวุ่นของคนกลุ่มหนึ่งน่ะครับ เรื่องเริ่มเมื่อซีซาร์ (Carlos Gómez) ที่ทำงานอยู่ที่ตึกแห่งหนึ่ง แล้วทีนี้ก็มีคนเอาลูกสุนับตัวน้อยมาใส่กล่องทิ้งไว้ที่หน้าตึก และด้วยความที่เขารับเลี้ยงมันไม่ได้ เขาเลยกะจะเอาสุนับตัวนี้ไปหย่อนไว้หน้าบ้านคนอื่นแทน แล้วบ้านที่เขาเลือกก็คือบ้านของ เนลล์ เบลคมอร์ (Anne Heche) คุณแม่ลูกสองที่เพิ่งหย่ากับสามีมาหมาดๆ แล้วจับพลัดจับผลูก็เกิดเรื่องให้ซีซาร์บาดเจ็บ จนเบลคและลูกๆ ต้องพาเขาไปหาหมอ… แต่นั่นน่ะแค่เริ่มต้นครับ เพราะเรื่องวุ่นที่ตามมามันยังมีอีกเพียบ
จริงๆ ผมชอบสไตล์ของหนังนะ เพราะเรื่องมันเกิดแบบต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จากเหตุการณ์หนึ่งนำไปสู่เหตุการณ์หนึ่ง เราเลยจะคาดเดาอะไรได้ยากหน่อย มันเลยน่าติดตามครับ เพราะเราก็อยากรู้ว่าคนกลุ่มนี้ต้องเจอกับเรื่องอะไรอีก
ถ้าจะมีสิ่งที่ติดใจอยู่ก็คงเป็นช่วงต้นของเรื่องเนื่องด้วยมันเต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวาย เหตุการณ์ที่เราได้พบเจอมันเลยไม่ค่อยจะน่าอภิรมย์นัก ว่าง่ายๆ คือเราอาจแอบรำคาญกับบางตัวละครหรือบางสถานการณ์ มันไม่ค่อยได้อารมณ์ Feel Good เท่าไร ดังนั้นตอนต้นๆ ผมเลยใช้ความอดทนในการดูพอสมควร เพราะในใจก็หวังว่าพอถึงจุดหนึ่ง หนังก็น่าจะกลับคืนสู่จิตวิญญาณวันคริสต์มาส นั่นคือมันจะมาพร้อมเรื่องราวอบอุ่น กินใจ และสอนใจเมื่อถึงจุดหนึ่ง
แล้วก็โชคดีที่มันเป็นแบบนั้นครับ เพราะครึ่งหลังเหล่าตัวละครก็เริ่มจะมีความผูกพันกัน เริ่มจะห่วงใยกัน เริ่มจะแบ่งปันประสบการณ์ความสุขความทุกข์ให้กันฟัง (ซึ่งคนดูอย่างเราก็พลอยได้รับรู้ไปด้วย) เนี่ยครับ ผมรอดูอะไรแบบนี้แหละ แล้วครึ่งหลังของหนังก็ตอบโจทย์ตรงนี้ให้ผมได้อย่างน่าพอใจ

เรื่องนี้ถือเป็นตัวอย่างหนังวันคริสต์มาสยุคก่อน (ประมาณยุค 90 – 2000 กว่าๆ) นะครับ คือมันไม่ได้มีแค่พล็อตแบบ “ฉันรักเธอ เธอรักฉัน” เท่านั้น แต่พล็อตมันจะคืออะไรก็ได้ที่สุดท้ายแล้วจะสามารถสอนใจคน ให้สาระชีวิตคน และทำให้คนดูอบอุ่นหัวใจ ดังนั้นมันอาจเป็นเรื่องของแม่ลูก หรือของคนที่ไม่เคยรู้จักกันหันมาทำความดีให้แก่กัน หรือเป็นเรื่องของการตามหาอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะตามหาคน ตามหาของ ฯลฯ พล็อตมันจะหลากหลายกว่า และนั่นล่ะคือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมติดดูหนังวันคริสต์มาสมาจนถึงทุกวันนี้ – ประมาณว่าแม้หนังคริสต์มาสทุกวันนี้มันจะไม่ค่อยเป็นแบบนั้นแล้ว แต่ใจมันรักไปแล้วน่ะครับ มันเลยพร้อมดูอีก แม้บางครั้งใจก็จะรู้ก็เถอะ ว่ามันคงไม่ได้มาแนวเดียวกับหนังคริสต์มาสยุคก่อนนั้นหรอก
สำหรับเรื่องนี้ ก็อย่างที่บอกครับว่าตอนต้นอาจต้องอดทนสักนิดกับความยุ่งเหยิงวุ่นวายจนบางครั้งอาจทำให้รู้สึกรำคาญ แต่พอผ่านครึ่งหลัง พอตัวละครเริ่มหันหน้าเข้าหากัน เราจะได้เห็นภาพน่ารักๆ ได้เห็นพวกเขาร้องเพลงร่วมกัน ได้เห็นพวกเขาช่วยเหลือกัน ได้เห็นว่าจริงๆ แล้วพวกเขาก็เคยผ่านมาทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย – พวกเขาก็คือคนเหมือนกัน
ฉากที่ผมชอบสุดในเรื่องขอยกให้ตอนที่ซีซาร์นั่งเปิดใจกับเบลค ตอนที่เขาพูดกับเธอว่า “คุณต้องเห็นคุณค่าวัยเด็กของลูกทุกวัน สนิทกับลูกให้เยอะๆ เพราะมันไม่ยั่งยืน” ผมเชื่อว่าคนเป็นพ่อแม่พอได้ยินนี่คงพยักหน้าน่ะครับ มันกระแทกใจเต็มๆ
คุณพ่อคุณแม่ที่ลูกยังเล็กนั้น ถือเป็นโชคดีครับที่คุณยังมีโอกาสได้สัมผัสกับช่วงเวลาวัยเยาว์ของลูก อย่างผมนี่ลูกอายุสิบกว่าแล้ว แน่นอนว่ายังมีเวลาอีกพักหนึ่งก่อนที่เขาจะโตและพ้นอ้อมอกเราไป แต่ประเด็นคือ เมื่อผมมองย้อนไปที่ “10 กว่าปีก่อน” ที่ผ่านไปแล้วนั้น… มันเร็วมากนะครับ… แป๊บเดียว 10 ปี แป๊บเดียวลูกที่คุณอุ้มได้ด้วยแขน ที่นิ้วมือน้อยๆ ของเขายังเล็กจ้อย แต่มาตอนนี้ วาระนั้นได้ผ่านไปแล้ว และมันจะไม่หวนกลับมา… เวลามีแต่เดินไปข้างหน้า…
10 ปีที่ผ่านมาเร็วแค่ไหน… 10 ปีต่อไปก็คงเร็วไม่ต่างกัน… นึกแล้วมันใจหายครับ มันใจหายจริงๆ ยิ่งคิดว่าอีก 10 ปีข้างหน้าเมื่อผมย้อนกลับมาอ่านสิ่งที่ตัวเองเขียนนี้ ตอนนั้นผมจะรู้สึกเช่นไรนะ… เป็นไปได้ผมว่าคงอยากจะบอกกับตัวเองในยามนี้ ให้ถนอมเวลาไว้ดีๆ เถอะ เพราะจากวันนี้ถึงวันนั้น มันจะผ่านไปแบบที่เราไม่ทันตั้งตัว
เนี่ยครับ… อีกหนึ่งเอกลักษณ์ของหนังคริสต์มาสยุคก่อน… คือมันจะสามารถทำให้ผมเวิ่นเว้อเพ้อคำและพ่นความรู้สึกออกมาเป็นย่อหน้าๆ แบบนี้ – นี่แหละครับคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงรักหนังคริสต์มาสยุคก่อนมากมายนัก เพราะมันทำให้ผมมีความสุข ทำให้ผมบันเทิง และที่สำคัญคือให้เมล็ดพันธุ์ทางความคิด ให้ผมสำรวจชีวิต และพิจารณาถึงอะไรบางอย่างที่บางทีในวาระปกติทั่วไป เราอาจไม่ได้คิดถึงมันเลยด้วยซ้ำ
ดูเรื่องนี้ก็ใจหายนะครับ เพราะ Anne Heche เธอไม่อยู่แล้ว… เธอเองก็คงไม่นึกเหมือนกันว่า 10 ปีต่อมาหลังจากที่เธอเล่นหนังเรื่องนี้… เธอจะไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกแล้ว – และเธอก็แสดงได้ดีเช่นเคยครับ
หนังกำกับโดย Jay Russell แห่ง My Dog Skip, Ladder 49 และ The Water Horse ซึ่งผมว่าเขาคุมหนังได้ดีครับ เพียงแต่บทตอนต้นๆ มันอาจยังไม่กลมกล่อมนัก แต่อย่างน้อยครึ่งหลังก็โอเค และหนังก็จบลงอย่างสวยงาม ได้ความรักความอบอุ่นสมกับเป็นหนังวันคริสต์มาส
ไม่อาจรับประกันว่าท่านจะชอบเรื่องนี้ไหม เพราะผมเองก็เฉยในครึ่งแรก แต่มาชอบเอาครึ่งหลัง แต่บอกได้ว่าใครชอบหนังคริสต์มาส ผมก็อยากให้ลองครับ เพราะอย่างน้อยท่านก็จะได้แง่คิดเกี่ยวกับชีวิตติดกลับไป ไม่มากก็น้อย
สองดาวกว่าๆ ครับ
![]()
(6.5/10)
หมวดหมู่:Christmas Movies, Comedy, Drama, Family, Feel-Good Movies, Inspirational Movies, Movie Reviews










