
Twister ภาคต้นฉบับถือเป็นหนังแนวภัยพิบัติที่ผมดูซ้ำบ่อยมากเรื่องหนึ่งครับ มันดูเพลินดี แม้ตอนดูรอบหลังๆ จะรู้เรื่องหมดแล้วก็ตาม แต่ด้วยพลังดาราและจังหวะจะโคนในการเล่าที่พอเหมาะ เลยทำให้หนังสนุกและตอบโจทย์บันเทิงได้อยู่เสมอ
และหลังจากดูฉบับใหม่แล้ว ผมก็ยังคงชอบฉบับเก่ามากกว่าครับ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะของเก่ามันดูสนุกตั้งแต่ต้นจนจบ ในขณะที่ฉบับใหม่นี่หนังใช้เวลาติดเครื่องนานสักหน่อย ช่วงต้นๆ นี่ยอมรับว่าผมยังไม่เพลินนักและใช้ความอดทนในการดูอยู่เหมือนกัน แต่มันมาเริ่มเพลินเอาตอนครึ่งหลัง หรือถ้าให้ระบุชัดๆ เลยก็คือตอนที่หนังเดินเรื่องไปได้ราว 45 นาที – ซึ่งพอดูหนังไปจนจบแล้ว ก็พบว่ามันก็มีเหตุผลที่มันเป็นแบบนั้นอยู่ครับ
ช่วงต้นหนังเปิดมาก็เล่าถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เคท (Daisy Edgar-Jones) มีปมในใจ ส่งผลให้เธอกลายเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยร่าเริง จนกระทั่งเพื่อนเก่าอย่างจาวี่ (Anthony Ramos) มาชวนให้เธอไปล่าพายุอีก เธอก็รับปากแบบไม่เต็มใจนัก ประมาณว่าให้ไปก็ไป แต่ใจก็ยังคงหม่นหมองเนื่องจากเหตุการณ์ครั้งโน้นอยู่ ทำให้ช่วงแรกๆ ของหนังอารมณ์มันจะค่อนข้างมัวๆ ครับ เพราะตัวเอกอย่างเคทไม่ผ่องใส ทำอะไรก็เลยมีพลาดมีติดขัด – เรื่องราว 45 นาทีแรกของหนังเลยยังไม่บันเทิงนัก จนผมเองก็รู้สึกอึนๆ ไปเหมือนกัน
แต่พอมาดูภาพรวม ก็พอเข้าใจน่ะว่าหนังอยากให้เราสัมผัสถึงห้วงอารมณ์ที่หม่นหมองของเคทแบบเต็มๆ ยิ่งมาตระหนักว่าผู้กำกับคือ Lee Isaac Chung แห่ง Minari เลยรู้สึก “อ๋อ” ที่ช่วงแรกของหนังจะดำเนินไปในทิศทางนั้น – และผมเชื่อว่าการที่บรรยากาศช่วง 45 นาทีแรกของหนังมันหม่นๆ มัวๆ ท้องฟ้ามืดๆ บรรยากาศอึมครึมนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญครับ มันคงเป็นไปตามอารมณ์ตัวละครนั่นแหละ พอตัวเอกหม่นบรรยากาศก็เลยหมองตาม
เหตุผลที่ผมจำนาทีที่ 45 ได้แม่นนี่ก็เพราะระหว่างดูมันรู้สึกได้ครับ ว่าจุดที่อารมณ์ของหนังสลับโหมดจากอึมครึมไปเป็นผ่องใสก็คือนาทีนั้นน่ะแหละ – ประมาณว่าพอรู้สึกปุ๊บก็กดดูนาทีปั๊บว่ามันคือนาทีไหน – หลังจากหนังครึมๆ อึนๆ มาพักใหญ่ แต่พอถึงนาทีที่ว่า คือนาทีที่เคทเริ่มกลับมาสดใส ไฟในการล่าพายุเริ่มกลับมา – ส่วนหนึ่งอาจเพราะเธอได้เจอกับ ไทเลอร์ (Glen Powell) นักล่าพายุหนุ่มสายระห่ำที่พลังของเขากระตุ้นให้ไฟในตัวเคทลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง ฉากที่ว่านี่มันสัมผัสได้จริงๆ น่ะครับว่าโทนหนังกำลังจะเปลี่ยน ความบันเทิงกำลังจะมา แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
และหลังจากนั้นโทนภาพก็เปลี่ยนด้วยครับ จากโทนที่ดูอึดอัดในตอนต้น ภาพของท้องทุ่งก็ดูหมองๆ สีสันไม่สดสวย แต่พอไฟเคทเริ่มมา ทีนี้ภาพก็ดูสว่างใส สีสันทุ่งหญ้ากลับมาเขียวสด งานภาพเริ่มกลับมามีชีวิต ซึ่งผมว่ามันเป็นการสะท้อนอารมณ์ของเคทน่ะครับ ตอนต้นๆ เหมือนมีเมฆหมอกมาบดบัง ใจเธอไม่กระจ่าง มองอะไรได้ไม่ชัด ความสามารถหรือทักษะก็ไม่ฉายแสง แต่พอเธอได้เจอไทเลอร์ ได้ผ่านช่วงแห่งความผิดพลาด และได้ทบทวนอะไรบางอย่าง ชีวิตชีวาถึงเริ่มมา เธอถึงกลับมาจับทางพายุได้คล่องเหมือนเคย

และที่สำคัญมากๆ ในความคิดผมคือ เธอกลับมากล้าตัดสินใจ เป็นฝ่ายแสดงออกและเอ่ยปาก – โดยเฉพาะตอนที่เธอบอกกับจาวี่ว่าต้องกลับไปช่วยชาวเมืองที่กำลังจะเจอพายุ ตอนนี้แหละที่สปอตไลท์สาดชัดมาที่เธอ
ขณะเดียวกันพอตัวตนนางเอกเริ่มชัด เราก็เห็นพระเอกชัดขึ้นเหมือนกัน จากที่คิดว่าพี่ท่านเป็นพวกสายเฮ้วที่หิวแสงและหิวเงิน แต่ต่อมาเคท (และคนดู) ก็เริ่มตระหนักว่าไทเลอร์มีด้านดีมากกว่าที่เธอคิด อันทำให้ทั้งสองเริ่มผูกสัมพันธ์ในกันในเวลาต่อมา
ส่วนครึ่งหลังนี่ก็ถือว่าดูเพลินได้เรื่อยๆ ครับ มีฉากพายุกระหน่ำ มีการลุ้น และอย่างหนึ่งที่ผมว่าหนังพยายามเพิ่มอะไรให้มากขึ้นจากของเก่าคือระหว่างการหนีพายุนั้น เราจะได้เห็นชีวิตคนที่ต้องมาเสียไปเพราะพายุ ซึ่งฉบับแรกจะไม่ได้เน้นตรงนี้ชัดเจนนัก ในขณะที่ฉบับนี้เราจะได้เห็นจะๆ ตา ก็สร้างความสะเทือนใจได้ไม่น้อยเหมือนกัน
แต่ถ้าจะมีอะไรที่ติดในใจสักหน่อยระหว่างดูก็คือ ผมว่าภาพพายุในหนังมันดูไม่ขลังเท่าฉบับเก่า อันนี้ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน เพราะของเก่านี่มันดูมีพลัง ดูน่าเกรงขาม (ทั้งที่ว่าตามจริง CG ตอนนั้นก็ยังไม่ถึงขั้นล้ำ) แต่กับฉบับใหม่นี่มันดูไม่น่าเกรงขามเท่า อย่างฉากที่พายุกลืนโรงอะไรสักอย่างจนเกิดระเบิดนั่น จริงๆ ฉากนั้นดูเล่นใหญ่กว่าฉบับก่อนนะ แต่ไหงพลังของภาพมันกลับไม่มากเท่าที่ควร – นี่เป็นอีกจุดที่ทำให้ผมยังชอบของเก่ามากกว่า เพราะพายุมันดู “เป็นของจริง” ทั้งภาพและความรู้สึก
และจะว่าไปหนังก็ถือว่าเดินตามรอยภาคแรกในหลายๆ ทาง ตั้งแต่ให้นางเอกมีปมในใจ, ปมรักสามเส้า หรือตอนที่จาวี่พูดกับเคทว่า “เธอกลับมาแล้ว” แล้วเคทก็ตอบกลับไปว่า “เปล่า ฉันไม่ได้กลับ” อันนี้ก็ชวนให้ระลึกถึงต้นฉบับแบบชัดเจน – อีกส่วนที่หนังฉบับนี้มีเสริมเพิ่มขึ้นมาก็คือเรื่องเกี่ยวกับคนที่พยายามตักตวงผลประโยชน์จากเหตุการณ์พายุถล่ม ซึ่งก็สะท้อนความจริงของโลกได้น่าสนใจ แต่ก็ตามคาดคือหนังพูดถึงแบบแตะๆ ไม่ได้ลงลึกอะไรมาก
อีกอย่างที่เพิ่มเข้ามาและถือว่าเข้าท่าคือ ฉบับก่อนหนังจะว่าด้วยการตามล่าพายุ ในขณะที่ฉบับนี้จะไปไกลกว่านั้นหน่อย คือไม่ได้ตามล่าอย่างเดียว แต่ยังมีความพยายามหาทางในการเอาชนะพายุด้วย อันนี้ถือว่าไม่เลว แล้วก็ทำให้ตอนท้ายมีฉากลุ้นๆ ตามมา – แต่ก็อย่างว่าครับ ภาพพายุมันก็ยังดูไม่ทรงพลังเท่าที่ควร รวมถึงฉากในเชิงแอ็คชั่นที่จัดอยู่ในข่าย “ยังมันส์ได้อีก”
สรุปว่าความรู้สึกที่ผมมีต่อหนังฉบับนี้ค่อนข้างคละเคล้ากันอยู่ครับ ที่ชอบก็มี แต่ที่รู้สึกว่ายังดีได้อีกก็มีเหมือนกัน หรือการที่ตอนต้นๆ หนังดูอึมครึมตามอารมณ์นางเอก แม้จะเข้าใจว่าเพราะอะไรก็เถอะ แต่ก็ต้องยอมรับว่าช่วงที่ว่านั้นมันก็มีส่วน “ยั้ง” ความบันเทิงของหนังไปบ้างเหมือนกัน
แต่ถ้าถามว่าอะไรที่ดึงให้ผมตามดูหนังได้เรื่อยๆ ก็ตอบได้แบบเต็มปากเต็มคำว่าคือ Daisy Edgar-Jones กับ Glen Powell นั่นแหละครับถ้าขาด 2 คนนี้ไปล่ะเรื่องใหญ่เลยล่ะ
หนังทำเงินไปทั่วโลกราว $370 ล้าน (จากทุนราว $155 ล้าน) แม้จะถือว่าพอไหว แต่ตัวเลขก็ยังไม่มากเท่าภาคต้นฉบับที่ทำไว้ $494 ล้าน (อันนั้นทุนอยู่ที่ $92 ล้าน)
ผมคงเอาเรื่องนี้มาดูอีกในภายหน้าครับ แต่อาจไม่บ่อยเท่า Twister ต้นฉบับ… ไม่รู้สิครับ คือรู้สึกมาพักใหญ่ (มากๆ) แล้วนะ ว่าหนังยุค 90 หรือ 2000 มันมีเครื่องปรุงบางชนิดหรือความขลังบางประการที่ทำให้หนังอร่อยคล่องคอ (ไม่ว่าหนังจะดีมากหรือดีน้อย แต่มันก็ดูเพลินดูสนุก) แต่หนังยุคหลังๆ นี่มันเหมือนเครื่องปรุงนั้นหรือความขลังนั้นมันหายไป – หายไปไหนก็ไม่รู้
สองดาวกว่าๆ แบบใกล้ครึ่งครับ
![]()
(6.5/10)
หมวดหมู่:Action, Adventure, Disaster Movies, Movie Reviews, Sci-Fi, Thriller










