
ผมจำได้ว่าก่อน The Flash จะฉายนั้นมีกระแสเชิงบวกมากมายว่าหนังสนุกมาก ดีมาก แต่พอออกฉายหนังกลับไปไม่ได้ไกล ครั้นพอได้ดูก็พอเข้าใจน่ะครับ คือหนังมันก็สนุกใช้ได้นั่นแหละ แต่มันก็ไม่ได้ว้าวอะไร คือดูสนุกตามมาตรฐานของหนังซูเปอร์ฮีโร่ – ว่าตรงๆ ก็คือ สนุกตามมาตรฐาน แต่ไม่ได้พิเศษอะไร
เรื่องย่อก็คือแบร์รี่ อัลเลน หรือ เดอะ แฟลช (Ezra Miller) ได้ทำการเปลี่ยนแปลงอดีตเพื่อช่วยแม่ของตน แต่มันก็มีผลที่ตามมาครับ และผลที่ว่าก็เลวร้ายถึงขั้นทำให้โลกหายนะได้เลย แบร์รี่เลยต้องหาทางแก้ไขให้ทันก่อนมันจะสายเกินไป
สารภาพว่าไม่รู้จะเขียนอะไรครับ 555 คือมันก็ดูได้เพลินๆ นั่นแหละ มีเอฟเฟค CG ละลานตาตามประสา มีอารมณ์ขันแทรกลงมาเรื่อยๆ ซึ่งจริงๆ ผมว่า Miller แกก็เล่นดีนะครับ ดูเป็นเด็กเนิร์ดๆ ลนๆ ล้นๆ แต่น่าเสียดายที่ก่อวีรกรรมในชีวิตจริงเอาไว้เลยทำให้อนาคตทางการแสดงของเขาต้องชะงักลง
จุดนี้ผมว่าเราเอามาใช้เตือนสติตนเองได้เลยนะครับ คือทำให้ตระหนักน่ะว่าการกระทำของเรามีผลที่ตามมาเสมอ หากเราทำตัวไม่น่ารัก ก่อเรื่องก่อราวหรือทำอะไรแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง มันก็อาจทำให้อนาคตของเราสั่นคลอน ไม่ว่าเราจะประกอบอาชีพใดก็ตาม ผลกรรมเหล่านั้นก็จะตามมาสร้างผลกระทบต่อตัวเราได้เสมอ – ว่าง่ายๆ คือ ถ้าไม่อยากให้อนาคตหมดสิ้น ก็ต้องพึงมีสติกับปัจจุบัน และทำมันให้ดีครับ
จะว่าไปแง่คิดนั้นก็สอดคล้องกับแง่คิดในหนังนะครับ เพราะในเรื่องนี่แบร์รี่ก็ก่อเรื่องจนเกิดผลตามมา แล้วเขาก็ต้องมาแก้ไข ก็ยิ่งตอกย้ำประเด็นที่ว่านี้ให้ชัดเจนขึ้นไปอีก – ถ้าเป็นหนังเรื่องอื่นนี่อาจมีแค่แง่คิดจากหนังอย่างเดียว แต่กับเรื่องนี้นี่แง่คิดมาพร้อมกันทั้งในหนังและในชีวิตจริง ดังนั้นเราก็ควรพิจารณามันให้หนักๆ หน่อยน่ะนะครับ เพราะมันได้รับการพิสูจน์ (ทั้งในหนังและในโลกความจริง) ว่าเรื่องนี้มันส่งผลจริงเสียยิ่งกว่าจริง
อีกประเด็นคือการมูฟออกก้าวข้ามเรื่องไม่ดีในอดีต การจมจ่อมอยู่กับมันรังแต่จะถ่วงเราให้ย่ำอยู่กับที่ ผมไม่ปฏิเสธครับว่าบางเรื่องมูฟออนยาก โดยเฉพาะเรื่องที่เข้าข่าย “ไม่เจอเองไม่รู้หรอก” แต่สิ่งที่ผมพยายามสื่อนั้นไม่ได้จะบอกว่าเรื่องในอดีตไม่สำคัญหรือเรื่องในอดีตไม่มีความหมาย เพียงแต่อยากดึงสติให้ตระหนึกว่าปัจจุบันก็สำคัญครับ เวลา ณ ขณะนี้ก็สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน และมันจะส่งผลไปถึงอนาคตด้วย – มันคงน่าเสียดายหากเราปล่อยให้อดีตมาดึงรั้งปัจจุบัน และก่อให้เกิดความพังไปยังอนาคต
บางเรื่อง เราก็เรียนรู้จากมัน – เราอาจแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่เราใช้มันสร้างปัจจุบันและกอบกู้อนาคตได้
และกับบางเรื่อง เราอาจทำได้เพียง “ยอมรับมัน” เข้าใจในสิ่งที่มันเป็น… หากเรายอมรับมันได้ พันธนาการบางอย่างในใจเราอาจสูญสลายไป
บางครั้งการปล่อยอดีต คือการปลดปล่อยตัวเราให้เป็นอิสระ
ส่วนการมาของแบทแมนเวอร์ชั่น Michael Keaton นั้นก็ไม่ได้ว้าวอะไรมาก ส่วนหนึ่งคงเพราะเราว้าวและตื่นเต้นไปแล้วตั้งแต่ตอนเห็นในตัวอย่าง พอได้ดูของจริงบวกกับการนำเสนอที่ไม่ได้โดดเด่นพลิกแพลงอะไร มันเลยออกแนวกลางๆ ครับ อยู่ในระดับ “ก็ดีน่ะ” อะไรประมาณนั้น แต่ Keaton น่ะแสดงได้ดีอยู่แล้วครับ อันนี้หายห่วง

ส่วน Sasha Calle ในบทซูเปอร์เกิร์ลและ Michael Shannon ที่กลับมารับบทซอด ก็ถือว่าทำหน้าที่ได้โอเคน่ะครับ แต่ก็ไม่ได้เสริมให้หนังดูเด่นหรือมีอะไรมากไปกว่าที่เป็น
ผมดูเรื่องนี้ไป 2 รอบแล้วครับ ซึ่งก็รู้สึกเหมือนกันทั้ง 2 รอบคือดูได้เรื่อยๆ เพลินๆ สนุกดี แต่ก็ไม่ถึงขั้นโปรดปรานอะไร ส่วนที่ชอบจริงๆ จังๆ ก็คงเป็นการแสดงของ Miller ที่ความบ๊องและความหลุกหลิกของพี่ท่านทำให้หนังดูเพลินอยู่ ส่วนฉากบู๊ฉากแอ็คชั่นนั้นก็กลางๆ ไม่ได้เด่นหรือเตะตาอะไร และฉากไคลแม็กซ์ที่แบร์รี่ต้องเจอกับวายร้ายตัวแท้ ก็ไม่เกินคาดเดา มันเลยไม่ได้ลุ้นอะไรมากมาย
อีกฉากที่ชอบก็ตอนแบร์รี่แก้ไขปัญหาในตอนท้ายน่ะครับ ฉากนี้ทำได้ซึ้งและกินใจดี ถือเป็นฉากดีๆ ที่ช่วยหนังไว้ได้อีกหน่อย
ยอมรับว่าแอบเห็นใจครับที่หนังล่ม ทำเงินทั่วโลกไป $271 ล้าน แต่ลงทุนไปกว่า $200 ล้าน ก็เข้าเนื้อเยอะอยู่ครับ แต่ขณะเดียวกันก็เข้าใจน่ะว่าตัวหนังมันไม่ได้มันส์ถึงขนาด การจะไม่ทำเงินก็เป็นที่เข้าใจได้
สรุปว่าจริงๆ หนังก็สนุกอยู่ครับ เพียงแค่มันมาในเวลาที่ผิด มาในยามที่คนอิ่มตัวกับหนังซูเปอร์ฮีโร่มากๆ แล้ว และพูดตรงๆ คือถ้าจะให้หนังมันปังมันต้องมีอะไรที่ว้าวกว่าที่เป็น เพราะไม่ใช่ว่าหนังไม่ดีครับ อย่างที่บอกว่าหนังน่ะได้มาตรฐาน แต่สำหรับยุคนี้ถ้าจะให้คนชื่นชอบแบบจัดๆ ถึงระดับสร้างปรากฏการณ์ล่ะก็ มันต้องมีอะไรที่เกินมาตรฐาน – ระหว่างพิมพ์อยู่นี่ผมก็นึกนะ ไปๆ มาๆ ผมว่าผมยังชอบ Man of Steel มากกว่าเรื่องนี้น่ะครับ
สองดาวครึ่ง พอได้ครับ
![]()
(7/10)
หมวดหมู่:Action, Adventure, Fantasy, Movie Reviews, Recommended Movies, Sci-Fi, Superhero










