Action

Freelance (2023) จ็อบระห่ำ คนถึกระทึกโลก

Untitled07811

เมสัน เพตทิตส์ (John Cena) อดีตทหารที่พลิกมาเป็นทนายและมีครอบครัวเล็กๆ น่ารัก แต่เขาก็รู้สึกว่าชีวิตช่างจำเจเหลือเกิน แล้วเซบาสเตียน (Christian Slater) เพื่อนเก่าก็ทาบทามให้เขากลับมาลงสนามอีกครั้ง โดยรับหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดให้กับนักข่าวสาวแคลร์ เวลลิงตัน (Alison Brie) ที่กำลังจะเสี่ยงภัยไปสัมภาษณ์ประธานาธิบดีเวเนกัสของพัลโดเนีย (Juan Pablo Raba)

ครั้นพอไปถึงก็เกิดเรื่องจนได้ครับ มีคณะปฏิวัติวางแผนถล่มขบวนรถ ทำให้เมสันต้องพาแคลร์และเวเนกัสหนีตาย แล้วการผจญภัยฝ่ากระสุนกลางป่าเขาก็เริ่มต้น

หนังมาแนวแอ็คชั่นผสมตลกครับ แต่สารภาพเลยว่าดูแล้วออกแนวเฉย เพราะแอ็คชั่นก็ไม่ได้มันส์ ไล่ล่าก็ไม่ได้ลุ้น ด้านความตลกนั้นก็ดูรู้แหละครับว่าตัวละครทั้งหลายมาพร้อมคาแรคเตอร์ชวนให้ขำ โดยเฉพาะท่าน ปธน. เวเนกัสนี่ออกแนวรั่วมากๆ แต่มันก็ไม่ได้ขำอะไรมากมาย และอย่างหนึ่งเลยที่ติดใจคือ ผมว่า Alison Brie ไม่เชิงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสุดสำหรับตัวละครนี้น่ะครับ ไม่ใช่เธอแสดงไม่ดีนะ แต่ผมว่าคาแรคเตอร์มันต้องดูกะเปิ้บๆ หน่อย – แบบเจ๊ Sandra Bullock อะไรแบบนั้น – แต่ Brie เธอดูจริงจังน่ะ คือเรื่องอื่นอาจจะเล่นขำนะ แต่เรื่องนี้เธอดูจริงจังยังไงพิกล มันเลยออกจะขัดๆ กับคาแรคเตอร์ของ 2 หนุ่มที่ออกแนวเบาๆ หลุดๆ แต่เธอดันดูจริงกว่าชาวบ้านเขา

แล้วผมว่าบทหนังมันออกแนวไปไม่เป็นยังไงก็ไม่รู้ เพราะปกติหนังแนวนี้นี่ถ้าให้พระเอกนางเอกผจญภัยไปด้วยกัน มันก็มักจะให้คู่นี้แอบปิ๊งกันใช่ไหมฮะ แต่เรื่องนี้มันไม่ใช่ เพราะเมสันนี่มีลูกมีเมียแล้ว และเขาก็ยังรักเมียอยู่ เรื่องระหว่างเขากับแคลร์เลยเเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นความกุ๊กกิ๊กมันเลยไม่มี – ยกเว้นฉากที่แคลร์เธอออกตัวแรง ตอนกลางเรื่อง ซึ่งผมว่ามันไม่เชิงกุ๊กกิ๊กนะ (แต่ออกแนวว่าเจ๊แคลร์เธอกะจะเอาจริงยังไงก็ไม่รู้)

แต่จริงๆ หนังก็สามารถกระชับพื้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างแคลร์กับเมสันได้ ให้พวกเขาปรับทุกข์คุยกันก็ได้ครับ ประมาณว่าไม่เป็นแฟนกันก็ให้กลายเป็นเพื่อน ให้แคลร์แนะนำเมสันว่าควรเอาใจเมียอย่างไร ควรแก้ตัวกับเมียอย่างไรอะไรประมาณเนี้ย ผมว่ามันก็น่าสนใจไปอีกแบบ

แต่หนังก็ไม่ได้เลือกทางนั้นครับ เลยทำให้ดูเหมือนเมสันกับแคลร์แทบไม่มีความสัมพันธ์โยงใยอะไรกันเลย เคมีระหว่างทางคู่มันเลยแปลกๆ เพราะมันไม่กุ๊กกิ๊ก ไม่ใช่คู่กัด คือมันไม่อะไรเลยน่ะครับ และคงเพราะแบบเนี้ยหนังเลยดูขาดอะไรไป – ไปๆ มาๆ ผมว่าเมสันกับเวเนกัสยังดูมีโยงใยต่อกันมากกว่าอีกนะนั่น แต่หนังก็ไม่ได้เน้นอยู่ดีน่ะครับ

กลายเป็นว่าแอ็คชั่นก็ไม่มาก อารมณ์ขันก็ไม่ลงล็อค ความกุ๊กกิ๊กอะไรก็ไม่มี สายใยตัวละครก็ไม่ชัด หนังมันเลยประดักประเดิดยังไงก็ไม่รู้ คือมันก็พอดูได้นะ แต่มันก็รู้สึกได้ว่ามันดีกว่านี้ได้น่ะครับ

Untitled07812

และในแง่แอ็คชั่นเนี่ย ส่วนใหญ่ในเรื่องก็คือแอ็คชั่นไล่ยิงกันน่ะครับ ซึ่งก็ไม่ได้มันส์อะไร หรือตอนท้ายนี่คือแม้จะมีคนยิงกันหูดับตับไหม้ แต่ความมันส์มันไม่มีเลยน่ะครับ คือตัวละครเข้าฉากเยอะนะ กระสุนก็ปลิวว่อน แต่มันไม่ก่อให้เกิดความมันส์เลย อีกอย่างพระเอกก็ไม่ได้โชว์อะไรเลยด้วย แค่ยืนยิงบ้างนั่งยิงบ้างแค่นั้น

ทีนี้ผมต้องขอสปอยล์แล้วครับ ไม่งั้นอัดอั้น เอาเป็นว่าใครไม่อยากทราบก็ข้ามไปนะครับ

======สปอยล์ครับ ======

แล้วที่งงหนักเลยคือตอนเมสันฟัดกับตัวบอส ฉากนี้บู๊ไม่มันส์ก็อย่างหนึ่งแล้ว แต่บทสรุปของการต่อสู้ก็ยังทำให้งงอีก คือพอเมสันกับบอสสู้กันแล้วเมสันทำท่าจะเพลี่ยงพล้ำ แล้วแคลร์ก็โผล่มาฟาดตัวร้าย ตัวร้ายก็กลิ้งไปอีกทาง แต่ยังไม่ตายนะครับ และผมว่าที่โดนแคลร์ตีไปน่ะมันเจ็บแค่เบาะๆ เท่านั้นแหละ ไม่น่าจะเจ็บเยอะ แต่กลายเป็นว่าพอแคลร์ตีบอสปุ๊บ ทั้งเมสันและแคลร์ก็พากันวิ่งออกจากฉากนั้นไปเลย ปล่อยให้ตัวร้ายนอนกลิ้งนอนมึนอยู่ตรงนั้น… แล้วบทของบอสตัวที่ว่าก็จบลงตรงนี้ครับ

ใช่ครับ หลังจากนั้นพี่แกก็ไม่มีบทอีกเลย – ทั้งๆ ที่เป็นบอสและมีความแค้นกับพระเอกนะ – งงครับ อันนี้งงมาก ตอนแรกนึกว่าเดี๋ยวสักพักเจ้าบอสคนนี้จะต้องกลับมาฟัดกับเมสันอีกแหงๆ แต่เปล่าครับ คือมันหายจากเรื่องราวไปเลย เพราะตอนท้ายหลังจากฉากที่เมสันตีกับบอสเนี่ย เมสันก็ออกไปยิงสู้กับฝ่ายตรงข้ามอีกนิดหน่อย แล้วหนังก็ตัดไปที่ภาพข่าวเลย คือเราจะไม่ได้เห็นการเผด็จศึกใดๆ ครับ ตอนแรกก็นึกว่าจะได้เห็นเมสันใช้กลยุทธ์ปราบฝ่ายตรงข้าม แต่นี่ไม่เลย แป๊บเดียวตัดจบ กลายเป็นว่าพวกพระเอกชนะแล้ว จบแฮปปี้… แต่ชนะแบบไหน ยังไง อันนี้ไม่รู้

=======หมดสปอยล์ครับ=======

และหนังเรื่องนี้ยาวประมาณ 1 ชั่วโมงกับ 43 นาทีน่ะนะครับ แต่ผมดูไป 2 ชั่วโมงกว่า… เปล่าครับ ไม่ได้ดูฉบับ Extended อะไรหรอก แต่เพราะดูแล้วมันหลับ แล้วที่หลับนี่คือตอนไคลแม็กซ์น่ะ ตอนที่เมสันต้องยิงสู้กับพวกผู้ร้าย แล้วก็ตอนสู้กับบอสนั่นแหละ คือดูไปเงกไป จนต้องกรอวนซ้ำ กลายเป็นว่ากรอแล้วก็เงกอีก กว่าจะดูจบเลยบวกไปอีก 20 นาทีครับ – ผมควรรู้สึกดีใช่ไหมนี่ เพราะดูคุ้มกว่าชาวบ้านเขา ดูซ้ำหลายรอบตั้งแต่รอบแรกที่ดูเลย 555

หนังกำกับโดย Pierre Morel ครับ สำหรับผมชื่อนี้มีความหมาย เพราะเขาคือคนกำกับ District B13 ภาคแรก, Taken ภาคแรก และ From Paris with Love แต่กับเรื่องนี้นี่มันไม่ใช่จริงๆ ครับ มันเฉยมากเลยล่ะ

ก็ตามนั้นครับ แต่ท่านจะลองก็ได้ครับ ท่านอาจสนุกเพลินกับมันก็ได้ ส่วนผมก็ขอว่าไปตามที่คิด

ไม่ถึงสองดาวครับ

Star12

(5.5/10)