
เด็กหนุ่มนามว่า แซมซั่น (Daniel Roebuck) ได้สังหารเพื่อนสาวของตน แล้วก็ทิ้งศพเธออยู่ริมน้ำ เมื่อเพื่อนของแซมซั่นได้ทราบเรื่องก็รีบพากันมาดูศพ และแต่ละคนก็มีปฏิกิริยาแตกต่างกันไป อย่างเลน (Crispin Glover) ก็วิ่งพล่านและพยายามจะช่วยเพื่อนโดยการจะทำให้ศพหายไป ส่วนแมตต์ (Keanu Reeves) ก็นิ่งอึ้ง พูดไม่ออก ในขณะที่คลาริสซ่า (Ione Skye) ก็รู้สึกสับสน ใจหนึ่งก็อยากแจ้งตำรวจ แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่กล้า…
หนังถือว่ามาในแนวที่ผมชอบครับ นั่นคือ “หนังที่บอกเล่าเรื่องราวช่วงหนึ่งของชีวิตคน” แบบ Stand By Me อะไรทำนองนั้น เพียงแต่เรื่องนี้มันอาจจะมีความดาร์คหน่อยๆ (แต่ไม่มาก) และเหตุการณ์ก็อาจชวนให้รู้สึกสลด และมาพร้อมความกดดัน ส่วนหนึ่งก็เพราะตัวละครในเรื่องแทบทุกคนล้วนมีปัญหาชีวิต มีความไม่มั่นคงทางอารมณ์ อีกทั้งความสับสนภายในใจ
ดังนั้นในขณะที่หนังแนวนี้หลายเรื่องบอกเล่าให้เราเห็นถึง “สิ่งที่เราควรทำ และการเติบโตขึ้นของเหล่าตัวละครหลังผ่านเหตุการณ์” แต่กับเรื่องนี้จะเป็นการฉายภาพให้เห็นถึงความสับสน ถึงการใช้อารมณ์ และบางพฤติกรรมก็จัดเป็นเยี่ยงอย่างที่เราไม่ควรเดินตาม
ผมชอบครับเรื่องนี้ อย่างแรกเลยที่ชอบคือการเล่าเรื่องที่ถือว่าพอเหมาะ เป็นส่วนผสมระหว่างความดิบความ Real กับความเป็นภาพยนตร์ที่ตอบโจทย์ด้านบันเทิง กล่าวคือดิบบ้าง แต่ไม่ดิบเกิน และยังพอมีรสชาติความบันเทิงตามประสาหนัง หนังเลยดูเพลิน ชวนให้เราติดตามไปเรื่อยๆ และด้านดาราก็ถือว่าเล่นได้ดีครับ คนที่เด่นสุดต้องยกให้ Glover ที่บทเพี้ยนๆ เพ้อๆ เยอะๆ แบบนี้มันคือตัวตนของเขาอยู่แล้ว ส่วน Reeves ก็ดูเป็นวัยรุ่นที่มีอะไรอยู่ในใจ มีความสับสนแต่ก็ไม่รู้จะบอกกับใคร และบางทีก็ใช้ความรุนแรงเป็นเกราะกันคนอื่นๆ ในชีวิตออกไป
Roebuck ก็จัดว่าเล่นดีครับ ตัวละครนี้ถือว่าซับซ้อน แม้ดูภายนอกเขาเหมือนจะพยายามทำตัวปกติ ไม่คิดไม่ยี่หระอะไร แต่ขณะเดียวกันภาษากาย ภาษาพูดและแววตาของเขามันก็บอกน่ะครับว่าใจเขาวุ่นวายแค่ไหน เหมือนภายนอกดูปกติแต่คนดูอย่างเราๆ จะสัมผัสได้ว่าภายในตัวเขาเนี่ยดูสั่น สั่นเป็นลูกนกตลอดเวลา – โดยส่วนตัวผมเลยว่า Roebuck เล่นได้ดีทีเดียว
ในเรื่องเรายังจะได้เจอ Dennis Hopper มาในบทเฟ็ก ชายสูงวัยที่ชอบอยู่บ้านกับตุ๊กตายาง Hopper สามารถทำให้คนดูสัมผัสได้ว่าตัวละครนี้ผ่านอะไรมาเยอะ แต่ขณะเดียวกันก็ดูเหมือนว่าไอ้ที่เขาผ่านมาเยอะนั้นน่ะ เขากลับไม่สามารถเรียนรู้อะไรจากมันได้สักเท่าไร เรียกว่าเขายังไม่สามารถก้าวผ่านอดีตไปได้ ไม่สามารถลุกขึ้นยืนหรือเติบโตจากมันได้ – มันเหมือนว่าแม้เขาจะไม่ได้ติดคุกติดตารางจากสิ่งที่เขาทำ แต่ความรู้สึกของเขาก็ได้ทำการจองจำตัวเองมานานแสนนาน – ไม่ได้ติดคุกที่ตัว แต่ติดคุกที่ใจ

สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกระหว่างดูก็คือ หนังพยายามถ่ายทอดให้เราเห็นน่ะครับ ว่าการกระทำแบบนี้จะส่งผลแบบไหน ว่าง่ายๆ คือการทำสิ่งที่ไม่ถูกก็จะนำพาคนผู้นั้นไม่สู่ทางที่ไม่ถูก ในขณะที่ทางที่ถูกนั้นแม้จะมีอยู่ แต่ตัวละครในเรื่องไม่ค่อยจะเลือกกัน ซึ่งก็ขึ้ยอยู่กับประสบการณ์และกรอบวิธีคิดของแต่ละคน แล้วก็ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมด้วย เช่นครอบครัวไหนที่ขึ้นเสียงใส่กันเป็นกิจวัตร สุดท้ายแต่ละคนในครอบครัวก็จะติดนิสัยขึ้นเสียงใส่กันเป็นปกติ แล้วมันก็จะกลายเป็นวงจรอุบาทว์เกิดขึ้นเวียนไปไม่จบไม่สิ้น – จนกว่าจะแต่ละคนจะพยายามแหวกสลายวงจรนั้นให้สูญสิ้นไป
อย่างครอบครัวของแมตต์นี่ก็แรงใส่กันตลอดครับ แมตต์แรงใส่แม่ แม่แรงใส่แมตต์ แมตต์แรงใส่น้องชายที่ชื่อ ทิม (Joshua John Miller) ทำให้ทิมที่โตมากับวงจรนี้ก็พลอยเป็นเด็กแรงไปด้วย และเรื่องของทิมนี่แหละที่ถือว่าสร้างความลุ้นให้คนดูไม่น้อย – ลุ้นว่าทิมจะตัดสินใจอย่างไร หลังจากที่เขาโกรธพี่ชายมากๆ จนแทบอยากจะฆ่าให้ตาย…
แต่ท่ามกลางความแรงในครอบครัวนั้น หนังก็สอดแทรกทางออกของปัญหาให้เราได้เห็นในตอนท้าย เมื่อแม่ของแมตต์รู้สึกเหนื่อยล้ากับสารพัดเรื่องที่รุมล้อมจนถ้าทำได้ก็คงจะลาออกจากความเป็นแม่ไปแล้ว – พอเรื่องไปถึงจุดนั้น แมตต์ที่ใจเย็นลงก็พยายามปลอบให้แม่ใจเย็น และเสนอว่าครอบครัวเราควรหันมาคุยกันเรื่องนี้ได้แล้ว ควรทำอะไรสักอย่างกับเรื่องนี้เสียที…
เมื่อมีคนเริ่มตระหนักถึงปัญหา และชวนให้แต่ละคนหันหน้าเข้าหากันเพื่อร่วมกันหาทางออก – แค่มีคนคิดจะเริ่มกระบวนการนี้ บางทีก็นับว่าดีแล้ว
สำหรับที่มาที่ไปของหนังเรื่องนี้ ณ จุดแรกเริ่มเลยก็คือ Neal Jimenez คนเขียนบทหนังเรื่องนี้ ได้แรงบันดาลใจตั้งต้นมาจากการอ่านข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับคดีฆาตกรรม Marcy Conrad เมื่อปี 1981 โดยผู้ลงมือก็คือ Anthony Jacques Broussard เพื่อนของเธอนั่นเอง
Jimenez ได้อ่านข่าวนี้ตอนแวะไปหาเพื่อนที่บ้าน แล้วเขาก็ค่อยๆ ตกผลึกกับเรื่องราวนี้ ก่อนจะแปลงมันมาเป็นบทภาพยนตร์ สร้างตัวละครกลุ่มวัยรุ่นขึ้นมาโดยอิงคาแรคเตอร์จากเพื่อนสมัยเรียนของเขา
เป็นหนังอีกเรื่องที่แนะนำให้ดูครับ ไม่ว่าจะดูเพราะ Keanu Reeves, ดูเพราะดาราวัยรุ่นยุคนั้น, ดูเพราะสนใจเนื้อหา หรือดูเพราะอยากรู้ว่าเรื่องจะลงเอยอย่างไร – ผมเชื่อว่าท่านจะได้อะไรจากหนังเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย
อีกอย่างนะครับ ผมว่าหนังถ่ายภาพได้สวยทีเดียว เป็นผลงานของ Frederick Elmes ผู้อยู่เบื้องหลังงานภาพดีๆ ใน Eraserhead, Blue Velvet, Moonwalker และ Night on Earth
สองดาวครึ่งครับ
![]()
(7/10)
หมวดหมู่:Crime, Drama, Movie Reviews, Recommended Movies










