Adventure

Flesh+Blood (1985) ศึกรักนักรบ

Untitled07752

งานกำกับของ Paul Verhoeven ที่ถัดจากเรื่องนี้เขาก็โกฮอลลีวู้ดไปทำหนังอย่าง RoboCop, Total Recall และ Basic Instinct ในเวลาต่อมา

เรื่องราวในหนังเกิดในยุโรปตะวันตก ค.ศ.1501 ครับ เรื่องของอาร์โนลฟีนี่ (Fernando Hilbeck) เจ้าเมืองที่เกณฑ์ทหารรับจ้างมาตีเมืองคืน ครั้นพอตีเมืองสำเร็จก็ไล่เหล่าทหารรับจ้างนั้นออกไปอย่างไม่ใยดี (ประมาณว่าใช้ประโยชน์เสร็จแล้วก็ทิ้ง) แล้วในเวลาต่อมาทหารรับจ้างเหล่านั้นที่นำโดยมาร์ติน (Rutger Hauer) ก็ได้ดำเนินการปล้นชิงฉุดคร่าแอ็กเนส (Jennifer Jason Leigh) ผู้ที่จริงๆ แล้วจะต้องมาเป็นเจ้าสาวของสตีเวน (Tom Burlinson) บุตรชายของอาร์โนลฟีนี่ ทำให้สตีเวนและมาร์ตินต้องเผชิญหน้ากันในที่สุด

ว่ากันว่าเหตุผลที่ Verhoeven ทำหนังเรื่องนี้ก็เพราะหนังเกี่ยวกับยุโรปยุคกลางในสมัยนั้นมักนำเสนอในเชิงโรแมนติก สวยงาม ชวนฝัน แต่จริงๆ แล้วนั้นยุคกลางของยุโรปน่ะเต็มไปด้วยการนองเลือด, โรคระบาด, ความยากจนข้นแค้น เรียกว่าไปที่ไหนก็มีแต่ความลำบากยากเข็ญ และที่สำคัญคือคนยุคนั้นน่ะหายากมากที่จะอยู่จนแก่ตาย ส่วนใหญ่ถ้าไม่โดนฆ่าก็ติดโรคร้าย ไม่ตายเพราะสงครามก็ตายเพราะถูกปล้น

ครั้นพอได้ดูก็ทำให้เห็นภาพที่ Verhoeven อยากนำเสนอครับ มันเต็มไปด้วยความรุนแรง เต็มไปด้วยการเอาตัวรอด บางคนก็ต้องโหดจัดๆ ไม่งั้นก็อยู่ยาก หรือบางคนก็ต้องทำตัวเป็นกิ้งก่าเปลี่ยนสี ต้องพร้อมจะเปลี่ยนข้างเสมอเพื่อจะได้ไม่ถูกฆ่า หรือบางคนก็ศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเชื่อ ศรัทธามากถึงขนาดไม่ยอมรับรู้ความเชื่ออื่นใดทั้งสิ้น ต้องหลับหูหลับตาก็ยอม

สำหรับผมหนังจัดว่าสนุกและเข้มข้นดีเลยครับ หนังเล่าเรื่องแบบตรงๆ ไม่อ้อมค้อม ดังนั้นมันจึงมีเรื่องไม่สวยงามเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะการรบราฆ่าฟัน การทะเลาะ การข่มขืน การหักหลัง ดังนั้นถ้าเจตนาของ Verhoeven คือฉายภาพด้านอัปลักษณ์ของยุคกลางล่ะก็ ถือว่าเขาทำสำเร็จครับ

ผมชอบฉากหนึ่งในตอนต้น ตอนที่อาร์โนลฟีนี่ สั่งการให้คนออกไปรบ พร้อมบอกว่าถ้าเจ้ารบชนะเจ้าจะได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ ได้ทรัพย์สินสารพัดจนทุกคนพุ่งเข้าไปรบแบบถวายชีวิต ครั้นพอสตีเวน ลูกตัวเองจับดาบจะพุ่งเข้าไปรบบ้างอาร์โนลฟีนี่รีบจับไหล่ลูกไว้ พอลูกถามว่าทำไมถึงไม่ให้ข้าไป อาร์โนลฟินี่ก็รีบบอกลูกว่า “คนโง่เท่านั้นที่รบ”

ครั้นพอรบเสร็จ ยึดครองเมืองได้ ก็ขับไล่เหล่านักรบรับจ้างออกจากเมือง… ฉากนี้ฉากเดียวก็สะท้อนความจริงได้หลายประการครับ

Untitled07753

อีกหนึ่งตัวละครที่สะท้อนมิติของมนุษย์คือแอ็กเนส สาวน้อยที่จะต้องมาเป็นเจ้าสาวของสตีเวน แต่ครั้นพอโดนมาร์ตินจับมานางก็ทำท่ามีใจให้มาร์ติน ทว่าพอตอนท้ายเมื่อมาร์ตินโดนเล่นงาน แอ็กเนสก็ไม่รอช้าที่จะทำท่าเห็นด้วยกับพวกที่ทำร้ายมาร์ติน – ตัวละครที่ผมบอกว่ายอมทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดในมวลหมู่คนในสังคม ก็คือเธอนี่แหละ

หนังเรื่องนี้สำหรับผมถือว่าน่าจดจำครับ ไม่ใช่แค่เล่าเรื่องได้น่าติดตาม แต่ยังสะท้อนสภาพสังคมและมิติของมนุษย์ให้เห็นแบบไม่ห่วงความดีความงาม คือใครเป็นแบบไหนก็พร้อมจะแสดงออกมาแบบนั้น ไม่มีพระเอกจ๋า ไม่มีนางเอกจ๋า ไม่มีตัวร้ายจ๋า ทุกคนก็คือคน เป็นเพียงคนที่หาทางให้ชีวิตตนสามารถอยู่รอดไปถึงวันพรุ่งนี้และวันต่อๆ ไป

Verhoeven เคยบอกว่าการถ่ายทำหนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยอุปสรรคและความยากครับ เริ่มจากทีมงานที่จัดว่านานาชาติมีทั้งคนสเปน, คนอเมริกัน และคนดัตช์มาร่วมงานกัน เลยมีปัญหาเรื่องการสื่อสารเป็นประจำ ส่วนนักแสดงจำนวนหนึ่งพอว่างจากการถ่ายทำก็พากันไปดื่มเหล้าและเล่นยา ไหนจะอุปสรรคทางธรรมชาติ ทั้งลมแรง หิมะตกหนักและความหนาวเย็นอีก จนทำให้งบสร้างบาน จน Verhoeven ถึงกับพูดว่านี่คือประสบการณ์การถ่ายทำหนังที่แย่ที่สุดที่เขาเคยเจอมาในชีวิตทีเดียว

และมิหน้ำซ้ำ Verhoeven ยังมีเรื่องขัดแย้งกับ Rutger Hauer อยู่บ่อยๆ เรียกว่ามีเรื่องกันจนทีมงานโจษขานกันเป็นตำนานและหลังจากเรื่องนี้พวกเขาก็ไม่เคยทำงานด้วยกันอีกเลย (แต่ก่อนหน้านี้พวกเขาถือเป็นคู่บุญครับ เคยทำงานกันมาก่อนหน้านี้ 5 เรื่องแล้ว) – จนไม่แปลกใจหาก Verhoeven จะรู้สึกไม่ดีกับการทำหนังครั้งนี้ครับ

แต่ในเรื่องร้ายก็ยังมีเรื่องดีครับ เพราะการทำหนังเรื่องนี้ทำให้เขาได้ร่วมงานกับคอมโพเซอร์ Basil Poledouris ที่เขาประทับใจจาก Conan the Destroyer แล้วพวกเขาก็ร่วมงานกันต่อในฮอลลีวู้ดใน RoboCop และ Starship Troopers

เกร็ดเพิ่มเติมก็คือ Verhoeven เคยบอกว่า หนังที่เป็นแรงบันดาลใจให้เขาทำเรื่องนี้ก็คือ The Wild Bunch, Vera Cruz และ The Crimson Pirate และอีกหนึ่งเกร็ดแถมท้ายคือ Rebecca De Mornay เคยมาแคสบทแอ็กเนสครับ และเธอก็มีเงื่อนไขว่าเธอจะยอมแสดงหนังเรื่องนี้ก็ต่อเมื่อทีมงานยอมให้แฟนเธอ (ในเวลานั้น) มารับบทเป็นสตีเวน – แฟนเธอคนนั้นมีชื่อว่า Tom Cruise – และเมื่อทีมงานไม่เห็นชอบ เธอเลยเดินออก และ Jennifer Jason Leigh ก็มารับบทนี้ไป

ถือเป็นหนังย้อนยุคเปี่ยมความรุนแรงสมกับที่กำกับโดย Paul Verhoeven ใครชอบแนวนี้ผมแนะนำเลยครับ – แต่หากไม่สันทัดอะไรที่มันรุนแรง ก็อาจจะควรข้ามไปครับ เพราะไม่เช่นนั้นท่านอาจจะอึดอัดได้ครับ

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7/10)