
ก่อนดูหนังเรื่องนี้ผมตั้งใจสูดหายใจลึกๆ 3 หน แต่พอรู้ตัวอีกทีนี่ผมน่าจะสูดไปเป็นสิบหนน่ะครับ ในหัวนี่ล้างสมองล้างความคาดหวังทุกอย่างแล้วคิดว่าดูหนังแอ็คชั่นแฟนตาซีสักเรื่องหนึ่ง โดยพยายามไม่นึกถึงเซนต์เซย่า
ถ้าถามว่าดูได้ไหม จริงๆ ผมว่าก็พอดูได้นะ เนื้อเรื่องมันคือสูตรคุ้นเคยน่ะครับ ตัวเอกคือ เซย่า (Mackenyu) ซึ่งเป็นผู้ถูกเลือกอะไรสักอย่าง ที่จะต้องปกป้องอะไรสักอย่าง (ในที่นี้คือปกป้องร่างทรงของเอเธน่า) ขณะเดียวกันเขาก็ต้องเคยสูญเสียอะไรสักอย่าง (ในที่นี้คือพี่สาว) แล้วก็ต้องฝึกวิชาอะไรสักอย่างเพื่อให้เก่งขึ้น (ในที่นี้คือพลังคอสโม่) แล้วก็ต้องสู้กับฝ่ายตรงข้ามที่ต้องการอะไรสักอย่าง (ในที่นี้คือ ต้องการกำจัดเอเธน่า) ก่อนจะสู้กันในตอนไคลแม็กซ์ และจบลงด้วยการทิ้งเชื้อเปิดช่องสำหรับภาคต่อไป
จริงๆ ผมว่าเซนต์เซย่า (หรือสารพัดการ์ตูนดัง) ก็มีกลิ่นของสูตรพวกนี้นะ แต่ในการ์ตูนน่ะคนเขียนเขาใช้สูตรเป็นเหมือนแนวทางตั้งต้นแบบหลวมๆ ก่อนจะด้นต่อเองแบบละเลงจินตนาการเต็มที่จนก่อให้เกิดความมันส์ในเวลาต่อมา แต่กับหนังเรื่องนี้เหมือนคนทำเลือกจะเกาะสูตรไว้แน่นน่ะครับ คือเดินตามสูตร เล่าตามสูตรแบบไม่ออกนอกแถว หนังมันเลยดูธรรมดา ไม่มีอะไรหวือหวา
แต่ผมว่าหนังก็ไม่ถึงกับแย่มากมายน่ะนะครับ เพราะอย่างน้อยมันก็เดินตามสูตรสำเร็จ มันก็ยังพอดูได้เรื่อยๆ ผมเชื่อว่าบางท่านที่ไม่เคยรู้จักเซนต์เซย่ามาก่อน รวมถึงไม่เคยดูหนังแนวนี้เลย ไม่แน่ว่าท่านอาจจะสนุกก็ได้ อย่างลูกสาวผมนี่ไม่เคยดูเซนต์เซย่ามาก่อน พอดูเรื่องนี้เขาก็โอเคน่ะครับ และยังมีการถามด้วยว่าจะมีตอนต่อออกมาอีกไหม – ดูท่าว่าคงเพลินกับหนังพอสมควร – เพราะอย่างที่บอกน่ะครับว่าหนังเดินตามสูตร มันเลยมีโครงสร้างที่โอเคในระดับหนึ่ง เพียงแต่ถ้าใครดูแนวนี้มาเยอะๆ (อย่างผม) หรือคุ้นเคยกับเซนต์เซย่ามาก่อน (อย่างผม) ก็อาจเฉยๆ
แต่ในแง่งานสร้างนี่ถือว่าใช้ได้เลยนะครับ งานฉากถือว่าดี โลเคชั่นที่เลือกก็ดูแกรนด์และสวยพอตัว งาน CG ต่างก็ถือว่าทำได้เข้าท่า – โดยส่วนตัวถือว่าสมทุน $60 ล้าน – และที่ผมชอบมากคืองานดนตรีครับ ผลงานของ Yoshihiro Ike ถือว่าทำดนตรีออกมาได้เหมาะ ช่วยเสริมอารมณ์ในหลายๆ ฉาก ผมชอบโมเมนต์ตอนที่เอาธีมดั้งเดิมของเซย่ามาใช้น่ะครับ ถือเป็นโมเมนต์ที่เหมาะทีเดียว
แต่มีอยู่เพลงหนึ่ง – เพลงตอนที่เซย่าได้ชุดคลอธรอบแรกน่ะครับ – ฟังแล้วมันคล้ายดนตรีใน Avengers Endgame ยังไงก็ไม่รู้ 555 ก็คงมีบ้างน่ะครับ

หนังเลือกใช้ดาราระดับกลางๆ ครับ ซึ่งก็มี Sean Bean มาเป็นอัลแมน คิโด, Famke Janssen มาเป็น วานเดอร์ กุราด อดีตภรรยาของอัลแมน, Mark Dacascos มาเป็นมายล็อค มือขวาของอัลแมน และ Nick Stahl มาเป็นคาสิออส ซึ่งแต่ละคนก็แสดงได้โอเคตามที่บทเปิดโอกาส ส่วนดารารุ่นใหม่อย่าง Mackenyu และ Madison Iseman ก็ถือว่าโอเคหมือนกัน – แต่สังเกตได้อย่างหนึ่งว่าหนังมีตัวละครน้อยมาก ขนาดตัวประกอบแบบเดินผ่านกล้องยังแทบไม่มีเลยน่ะครับ เดาว่าหนังคงเอาทุนไปทุ่มกับงานสร้างเป็นหลัก ซึ่งก็เข้าใจได้น่ะ
ถ้าว่าตามความรู้สึก ผมว่าหนังก็ไม่ถึงขั้นแย่ครับ พูดตรงๆ คือเคยเจอแย่กว่านี้ เช่น Dragonball Evolution หรือถ้าเร็วๆ นี้ก็ Blade of the 47 Ronin กับ R.I.P.D. 2: Rise of the Damned ผมว่าผมต้องใช้ความอดทนในการดูหนังเหล่านั้นมากกว่าดูเรื่องนี้เยอะ เพียงแต่ก็รู้สึกเสียดายน่ะนะครับที่หนังมาได้แค่นี้ และมันยังไม่ถึงขั้นสนุกเท่านั้นแหละ
อ้อ และถ้าจะมีอะไรที่ผมไม่ชอบแบบชัดเจน คงเป็นชุดของเซย่าน่ะครับ ดูแล้วมันรู้สึก “ไม่ใช่” จริงๆ คือมันดูลิเกมากไป – แต่ชุดของอีกหนึ่งตัวละคร ผมว่าโอเคนะ ถือว่าใกล้เคียงกับชุดในการ์ตูนมากกว่าเยอะ
สรุปว่าผมคงไม่ดูซ้ำน่ะนะครับ 555 ส่วนท่านจะดูหรือไม่ย่อมแล้วแต่ ตามความคิดผมแล้ว หนังก็ไม่ได้เห่ยเฟยย่ำแย่ขนาดนั้น แต่หากเวลาของท่านมีค่า ประมาณว่าเวลาดูหนังมีไม่มาก ก็อยากแนะนำให้ไปเลือกชมเรื่องอื่นครับ
กลางๆ ที่ดาวครึ่งครับ

(5/10)
หมวดหมู่:Action, Adventure, Drama, Fantasy, Martial Arts, Movie Reviews, Sci-Fi










