ผมเชื่อว่าทุกคนคงมีหนังบางเรื่องที่คนส่วนใหญ่เขาชอบกัน แต่เรานั้นดูยังไง๊ยังไงก็เฉยๆ หรืออาจไม่ชอบไปเลยก็มี ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาครับ อย่างผมนี่ก็มี เรื่อง Shrek นี่แหละ

ผมพยายามดูอยู่ 4 รอบครับ รอบล่าสุดนี่ดูเพื่อประกอบการตัดสินใจเพราะพอดี iTunes เอามาลดราคาเหลือเรื่องละ 99 บาท ครั้นพอดูจบก็ยังคงรู้สึกเหมือนเดิม คือดูได้ แต่ไม่ได้ชอบอะไรมากมาย

คือดูแล้วผมเข้าใจนะว่าหนังมันมีความเด่นเรื่องการแหวกขนบ เอาเรื่องราวการ์ตูนแฟนตาซีแบบเทพนิยายมาฉีกตำรา ตั้งแต่ตัวเอกเป็นยักษ์อ้วนกวนๆ ไม่ได้เป็นพระเอกเทพบุตรหล่อเหลา ส่วนเจ้าหญิงก็ไม่ได้นุ่มนิ่มอ่อนแอ เธอพร้อมจะซัดกับชาวบ้านได้ทุกเมื่อที่จำเป็น แล้วก็แซวหนังเรื่องโน้น แซวสูตรเทพนิยายโน่นนี่ คือดูแล้วมันก็เก็ทน่ะครับว่าหนังพยายามทำอะไร ซึ่งก็ยอมรับว่าสร้างสรรค์ดี คนทำมีไอเดียที่โอเคอยู่

แต่ผมออกแนวเฉยจริงๆ ครับ คือการเล่าเรื่องมันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกสนุก และโดยส่วนตัวแล้วมองว่างานภาพค่อนข้างธรรมดา ไม่ได้สวยเตะตาอะไร หากเทียบกับหนังแอนิเมชั่นร่วมรุ่นยุคนั้นอย่างพวก Toy Story 2, A Bug’s Life หรือ Antz – สารภาพว่าการดูรอบล่าสุดนี่ยังแอบรู้สึกว่าภาพดูเชยด้วยซ้ำ

ก็คงไม่ว่าอะไรมากครับ แวะมาเล่าความรู้สึกตามประสาว่าผมเข้าใจความรู้สึกของหลายๆ ท่านยามที่ผมเขียนถึงหนังที่ชอบ แล้วก็มีท่านที่มาบอกว่าดูแล้วเฉยๆ คืออยากบอกว่าเข้าใจความรู้สึกของพวกท่านครับเพราะผมก็มีอารมณ์นั้นเหมือนกัน – ถ้าถามว่ามีชอบฉากไหนบ้างไหม ก็คงเป็นฉากที่บุกปราสาทไปช่วยเจ้าหญิงแล้วเจอกับมังกรนั่นแหละครับ ฉากนั้นถทอว่ามีลุ้นและภาพสวยคมดี

สรุปว่าดูจบแล้วก็ไม่ได้ซื้อเก็บครับ และคาดว่าคงดูรอบนี้เป็นรอบสุดท้ายเพราะเฉยจริงๆ แต่กลายเป็นว่าผมชอบภาค 2 นะ ผมว่ามันดูลื่นดูเพลินและมุกเยอะดี – ก็คงมีแค่ภาค 2 นี่แหละครับที่ผมอาจเอามาดูอีกยามอยากดูหนังเบาๆ

แต่ก็ต้องแยกแยะน่ะนะครับ ชอบไม่ชอบก็เรื่องหนึ่ง แต่หนังเขามีมีความกล้าที่จะแหวก มีไอเดียจิกกัดเสียดสีหนังแนวเทพนิยาย (หรือพูดให้ชัดเลยก็คือพวกการ์ตูนดิสนี่ย์) ก็ดูเข้าท่าในแง่ของคอนเซปต์ เพียงแต่มันไม่ใช่หนังสำหรับผมเท่านั้นน่ะครับ จังหวะการชงมุกตบมุกของหนังอาจเป็นคนละคลื่นความถี่กับผม ก็เลยไม่รู้สึกตึ้งโป๊ะไปกับหนัง

แต่หนังก็ประสบความสำเร็จอย่างดีครับ โกยไป $488 ล้านจากทั่วโลก (ลงุทนราวๆ $60 ล้าน) ส่งผลให้มีตอนต่อตามออกมาอีกเพียบ

สองดาวครึ่ง ค่าไอเดียครับ

(7/10)