
M3GAN ถือเป็นหนังสยองที่มีอะไรน่าสนใจมากกว่าแค่ความสยอง (บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อเรื่องครับผม)
เจมม่า (Allison Williams) ประดิษฐ์หุ่นยนต์ล้ำสมัยนามว่า เมแกน (M3GAN) ขึ้นมา โดยหมายมั่นว่ามันจะต้องเป็นสินค้าขายดีครับ และก่อนจะเปิดตัวเมแกนอย่างเป็นทางการ เจมม่าก็ให้เมแกนใช้ชีวิตร่วมกับเคดี้ (Violet McGraw) หลานสาวของเธอที่เพิ่งเสียพ่อแม่ไป แน่นอนว่าเคดี้ติดเมแกนแบบหนึบเลยครับ และเมแกนเองก็ดูแลเคดี้อย่างดีเต็มร้อย… แต่ก็คงเดาได้น่ะนะครับว่าพอถึงจุดหนึ่งเมแกนก็จะกลายเป็นหุ่นยนต์อันตรายขึ้นมาจนได้
สิ่งแรกที่คิดขึ้นมาระหว่างดูก็คือประเด็นที่คนกำลังถกเถียงกันว่าหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์จะก่ออันตรายกับมนุษย์หรือไม่ ซึ่งความคิดก็มีทั้งสองแนวครับ ที่เห็นว่าจะไม่ก่ออันตรายก็มี หรือที่มองว่าจะก่ออันตรายแน่ๆ ก็มี ซึ่งผมก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญน่ะนะครับ แต่สิ่งหนึ่งที่หนังสไตล์นี้ (หนังว่าด้วยหุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์) มักจะทำให้ฝังใจก็คือ หุ่นเนี่ยไม่ว่าจะคุณภาพดีแค่ไหนก็ตาม แต่มันพังได้ครับ มันมักจะพังเพราะปัจจัยแทรกซ้อนที่ผันแปรได้ตลอดในทุกนาทีบนโลกกลมๆ ใบนี้
ดังนั้นถ้าว่ากันตามความคิดส่วนตัวแล้ว ผมว่ามันมีโอกาสที่จะมีหุ่นหรือปัญญาประดิษฐ์ที่ก่ออันตรายขึ้นมา ไม่ว่าจะเพราะคนตั้งใจทำให้มันเป็นแบบนั้น (หุ่นไม่ดีจะมีหรือไม่ อันนี้ยังไม่รู้ แต่คนไม่ดีน่ะมีแน่ๆ) หรือหุ่นมันเกิดเพี้ยน ระบบมันเกิดพลาด อันเนื่องมาจากปัจจัยแวดล้อมที่ยากจะคาดเดา – สิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้มาระหว่างการใช้ชีวิตคือ ไม่มีอะไรที่เราจะควบคุมมันได้แบบ 100% หรอกครับ
หุ่น, ปัญญาประดิษฐ์ หรือเครื่องจักรที่ก่อให้เกิดอันตรายนั้น หากไม่เกิดได้น่ะย่อมดีครับ แต่ขณะเดียวกันเราก็ต้องเตรียมพร้อมเสมอที่จะรับมือกับสิ่งที่ไม่คาดฝันหรือสิ่งที่เราๆ ท่านๆ ไม่อยากให้เกิดขึ้นด้วยเหมือนกัน – การระแวงระไวมองแง่ร้ายเกินไป หรือการประมาทมองบวกจนอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์เกินไปล้วนแต่ไม่ควรทั้งนั้น
ประเด็นต่อมาคือหนังสะท้อนมิติด้านอันตรายอันเกิดจากการที่ “เราทำในสิ่งที่ยังไม่รู้จักมากพอ” อย่างเจมม่าเองที่ทำเมแกนขึ้นมา เอาเข้าจริงเธอก็ยังไม่รู้จักระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเมแกนแบบถ่องแท้ ยังมีหลายแง่มุมที่เธอลืมคิดหรือยังคิดไม่ครบ จนเมแกนยังเอาประเด็นนี้มาแขวะเจมม่าในตอนท้าย

จุดนี้ทำให้นึกถึงคำที่เอียน มัลคอล์ม (ใน Jurassic Park) เคยพูดกับจอห์น แฮมมอนด์ว่า “พวกคุณมัวแต่คิดว่าตัวเองจะทำได้ไหม แทนที่จะคิดให้ดีๆ ว่าจริงๆ แล้วคุณควรทำหรือไม่” – เจมม่าเองก็เข้าอีหรอบนี้ครับ เธอโฟกัสแต่ว่าจะทำได้ไหม จะผลิตหุ่นที่โลกต้องตะลึงได้ไหม แต่เธอลืมไปว่าหุ่นที่มีศักยภาพขนาดนี้เนี่ย เธอพร้อมที่จะทำมันขึ้นมาหรือยัง โลกนี้พร้อมแล้วหรือยัง หรือเธอควรต้องวางระบบป้องกันความผิดพลาดต่างๆ ให้มันรัดกุมกว่านี้ไหม
ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาที่เกิดสะสมในโลกนี้หลายๆ เรื่อง เป็นผลพวงมาจากการที่เราประดิษฐ์คิดค้นอะไรขึ้นมาโดยที่ยังไม่รู้จักสิ่งนั้นอย่างถ่องแท้ โดยที่ยังไม่รู้ว่าจะมีผลกระทบอะไรที่เกิดตามมา – และแน่นอนว่า มันมีราคาที่ต้องจ่ายในภายหลังเสมอครับ
แล้วประเด็นนี้ก็ทำให้ย้อนคิดถึงสิ่งที่ผมคิดถึงอยู่บ่อยๆ ในช่วงนี้ (เพราะหนังที่ดูหลายเรื่องมันทำให้คิดน่ะนะครับ) นั่นคือ “สิ่งที่ไม่ควรเกิด มักก่อให้เกิดสิ่งที่ไม่ควรเกิด” อย่างตัวเมแกนนี่ก็เหมือนกันครับ ส่วนหนึ่งที่ระบบเธอปั่นปวนรวนไปก็เพราะไปเจอสิ่งที่ไม่ควรเจอ (โดนหมาตะครุบ) – จุดนี้ทำให้คิดเลยครับ ว่าถ้าป้าเจ้าของหมาดูหมาให้ดีกว่านี้ หรือถ้าเจมม่าทำสิ่งที่ควรทำตั้งแต่ต้น โดยการปิดช่องตรงรั้วนั่นไปซะ – ใครสักคนทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้ปัญหา – เหตุการณ์ที่เมแกนระบบรวนอาจจะไม่เกิดขึ้น (คือจะไปเกิดด้วยเหตุอื่นไหมก็ว่ากันอีกเรื่องครับ แต่อย่างน้อย ณ โมเมนต์นี้มันก็จะไม่เกิด)
ปฏิเสธไม่ได้อีกเหมือนกันว่าปัญหาใหญ่ๆ ในทุกวันนี้ มันก็เติบโตมาจากปัญหาเล็กๆ ที่ไม่ได้รับการแก้ไขตั้งแต่ต้นนั่นแหละ
และขอย้อนกลับไปที่ประเด็น “การทำในสิ่งที่เรายังไม่รู้จักมากพอ” อีกนิด คือเจ๊เจมม่านี่นอกจากจะประดิษฐ์เมแกนโดยที่ยังไม่รู้จักมันมากพอแล้ว เธอยังทำแบบเดียวกันกับเคดี้ด้วย – เธอรับเคดี้มาเลี้ยงโดยที่ไม่รู้ (และไม่เรียนรู้) วิธีการดูแลเด็กที่เหมาะควร สิ่งที่เธอทำคือจับเมแกนใส่มือเคดี้ แล้วพอเห็นเคดี้แฮปปี้เธอก็คิดว่า “จบละ เรียบร้อย” แต่กลายเป็นว่านอกจากเมแกนจะรวนแล้ว เคดี้เองก็รวนไม่น้อยไปกว่ากัน เธอกลายเป็นเด็กที่ต้องพึ่งพิงเมแกน ถึงขั้นขาดเมแกนไม่ได้ และพร้อมจะระเบิดอารมณ์อาละวาดได้ทุกเมื่อที่ไม่พอใจ
ภาพนี้เชื่อว่าหลายคนคงเคยเห็นในชีวิตจริง ตอนที่มีใครสักคนพยายามเอามือถือหรือแท็ปเล็ตออกจากมือของเด็กสักคนที่ติดมันอย่างงอมแงม – ในแง่หนึ่ง M3GAN คือหนังไซไฟที่ฉายภาพอนาคตที่อาจเกิดขึ้น แต่ในอีกเแง่หนึ่งหนังก็ฉายภาพปัจจุบันที่เกิดขึ้นไปแล้วให้เราได้เห็นด้วย
ผมชอบคำถามที่คุณหมอถามกับเจมม่าว่า “ถ้าคุณสร้างของเล่นที่เด็กไม่มีวันเลิกเล่น แล้วเด็กจะโตได้ยังไง?” เป็นคำถามที่น่าคิดพิจารณาอย่างยิ่งครับ

คงเพราะสารพัดประเด็นที่หนังมีเลยทำให้ผมค่อนข้างชอบครับ เพราะหนังไม่ได้มาพร้อมความสยองอย่างเดียว และถ้าให้ว่าจริงๆ แล้วผมว่าหนังมันก็ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาสยองขนาดนั้น มันมีฉากชวนผวา ชวนสะพรึงเท่าที่จำเป็น จนผมคิดด้วยซ้ำว่าหากใครที่คาดหวังความสยองแบบหนักๆ อาจรู้สึกว่าหนังไม่ตอบโจทย์เท่าที่ควรก็เป็นได้
โดยรวมแล้วผมว่าหนังทำได้ดีครับ มีประเด็นชวนคิด เนื้อหาแม้จะไม่แปลกใหม่แต่ก็เล่าเรื่องได้น่าติดตามพอตัว และผมชอบที่หนังคุมโทนของตัวละครได้ค่อนข้างพอดี คือถ้าว่าตามจริงนี่หนังมีตัวละครที่ควรจะชวนให้หงุดหงิดรำคาญอยู่ไม่น้อย แต่หนังก็สามารถคุมโทนให้พวกเขาไม่ดูน่ารำคาญเกินไป คือยังพอน่ารำคาญบ้างแต่ไม่เยอะจนชวนให้หงุดหงิด
ดาราในเรื่องก็แสดงกันได้ดีครับ บทที่ Akela Cooper เขียนร่วมกับ James Wan ก็ถือว่ากำลังดี และฝีมือการกำกับของ Gerard Johnstone ก็ถือว่าใช้ได้ คุมจังหวะหนังได้พอเหมาะ เพียงแต่เราอาจจะยังไม่เห็นลายเซ็นต์ของเขาแบบชัดเจนเท่านั้น
และสิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้ท่านที่ชมได้เก็บกลับไปคิดคือ การลองพิจารณาความไม่น่ารักของหลายๆ ตัวละครในเรื่อง ไม่ว่าจะคุณป้าเลี้ยงหมา, เด็กชายจอมกวน, เจ้านายจอมฉวยโอกาส หรือกระทั่งเจมม่าและเคดี้เองก็เถอะ ผมอยากให้ท่านลองใช้พวกเขาเป็นกระจกสะท้อนดูครับ ลองตรวจสอบว่าเราน่ะความไม่น่ารักแบบที่พวกเขามี อยู่ในตัวเราบ้างหรือไม่ – ถ้ามี ก็ควรลองบริหารจัดการและควบคุมมันครับ
ตัวหนังประสบความสำเร็จอย่างสวยงามครับ ทำเงินทั่วโลกไปกว่า $180 ล้าน จากทุนสร้างราวๆ $12 ล้าน กำไรสวยงามจนผู้สร้างอดไม่ได้ที่จะทำภาค 2 ตามออกมา
สองดาวครึ่งครับ

(7/10)
หมวดหมู่:Horror, Movie Reviews, Recommended Movies, Sci-Fi, Thriller










