
หนนี้แลร์รี่ เดลี่ย์ (Ben Stiller) ต้องไปผจญภัยที่สมิธโซเนียนครับ ประมาณว่าแผ่นศิลาวิเศษถูกนำไปที่นั่น ส่งผลให้สารพัดหุ่นในพิพิธภัณฑ์ตื่นขึ้นมา และหนึ่งในนั้นก็คือ คาห์มุนราห์ (Hank Azaria) องค์ชายจอมวายร้ายพี่ชายของอัคเมนราห์ (Rami Malek) และเขาก็มีแผนจะเรียกกองกำลังจากต่างมิติมาถล่มโลก
สำหรับผมภาคนี้ยังคงดูสนุกเช่นเคยครับ เพียงแต่แนวทางของเรื่องอาจต่างไปจากภาคแรกหน่อย ตรงที่ภาคแรกนั้นเป็นหนังผจญภัยแฟนตาซีก็จริง แต่หนังก็แทรกเรื่องมิติตัวละครลงไป ไหนจะเรื่องการค้นคว้าหาความรู้ ใช้สติปัญญามาแก้ปัญหาแบบเป็นขั้นเป็นตอน ภาคแรกเลยทั้งสนุกและได้สาระ ในขณะที่ภาคนี้ดูจะเน้นผจญภัยลุยไปข้างหน้าเป็นหลัก ซึ่งในแง่หนึ่งก็พอเข้าใจน่ะครับ เพราะภาคนี้ไปลุยกับที่สมิธโซเนียนที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ เลยมีตัวละครและรายละเอียดเยอะ ซึ่งดูหนังจะเน้นนำเสนอไปที่ความยิ่งใหญ่น่ะครับ เลยไม่ค่อยได้ลงลึกในส่วนของตัวละครต่างๆ แบบภาคแรก การแจกแจงตัวละครก็อาจไม่ค่อยทั่วถึง ซึ่งก็พอเข้าใจได้น่ะครับ
อีกอย่างคือเหล่าตัวละครจากภาคแรกแม้จะตามมาโผล่ในภาคนี้ แต่ก็ไม่ค่อยมีบทบาทครับ กลิ่นอายอบอุ่นเล็กๆ แบบภาคแรกเลยไม่ได้ตามมาด้วย แต่ก็ยังดีที่คู่หูประจำตอนของแลร์รี่อย่างอะมีเลีย แอร์ฮาร์ต มาพร้อมคาแรคเตอร์ที่มีพลัง เปี่ยมชีวิตชีวา อันนี้ก็ต้องชม Amy Adams ด้วยล่ะครับ เธอสวมบทหญิงแกร่งคนนี้ได้อย่างเหมาะเหม็ง ถือเป็นสีสันที่ช่วยหนังไว้ได้เยอะอยู่ – และผมชอบบทสรุปของตัวละครนี้ครับ ถือเป็นอะไรที่เหมาะกับความเป็นอะมีเลีย แอร์ฮาร์ต และสามารถมอบรสชาติซึ้งๆ ให้กับหนังได้อย่างพอเหมาะ – ลืมเธอไม่ลงน่ะครับ ว่างั้นแล้วกัน
ส่วนตัวร้ายอย่างคาห์มุนราห์นั้นก็ออกแนวการ์ตูนอยู่เหมือนกันครับ ก็เข้าใจว่าคงเพราะหนังทำให้เด็กดูได้เลยไม่สามารถโหดได้มากนัก เลยออกแนวฮาๆ ขำๆ ซึ่ง Azaria ก็เล่นได้ฮาดี เพียงแต่ดีกรีความเด่นอาจยังไม่มากอย่างที่ควรจะเป็นเท่านั้นแหละ – เช่นเดียวกับเพื่อนตัวร้ายร่วมจออย่างไอแวน เดอะ เทอร์ริเบิล (Christopher Guest), นโปเลียน โบนาปาร์ต (Alain Chabat) และ อัล คาโปน (Jon Bernthal) ที่มาในโทนการ์ตูนพอกัน
ก็ถือเป็นภาคต่อที่โอเคครับ มันยังคงตอบโจทย์ความบันเทิงได้ดี ในแง่ของสาระแม้จะไม่กลมกล่อมและเป็นเรื่องเป็นราวแบบภาคแรก แต่หนังก็ยังมีแง่คิดสอดแทรกลงมา โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า “บ้านที่แตกแยก ยากจะอยู่รอดได้” ก็ถือเป็นอะไรที่น่านำมาไตร่ตรอง

ปมของนายพลคัสเตอร์ (Bill Hader) ที่สะท้อนแง่คิดที่ว่า แม้เราจะเคยทำอะไรผิดพลาดพลั้งไป ทว่าการจมอยู่กับความผิดพลาดนั้นหาได้ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ ไม่ แต่เราควรต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้น ทบทวนมันเพื่อไม่ให้ผิดซ้ำ และหาทางก้าวต่อไป อันนี้ก็ถือเป็นแง่คิดให้กำลังใจสำหรับคนที่เคยล้มเคยพลาดมาก่อนครับ
หรือปมของแลร์รี่ ที่แม้ชีวิตตอนนี้จะได้ดีและมีเงินมหาศาล แต่การทำธุรกิจของเขานั้นกลับไม่ตอบโจทย์ความสุขเหมือนสมัยเป็นยาม จริงๆ ปมนี้เข้าท่า เพียงแต่การนำเสนออาจจะง่ายไปนิดน่ะครับ เหมือนหมักยังไม่เข้าเนื้อมันเลยไม่อินแบบเต็มๆ แต่ยังดีที่ Stiller เล่นบททำนองนี้ได้ดีครับ เลยพอจะกล้อมแกล้มได้อยู่
หนังยังคงทำเงินอยู่ครับ ทำไป $413 ล้าน จากทุนราว $150 ล้าน ก็ทุนเยอะกว่าภาคก่อน แต่รายได้น้อยลงไปหลักร้อยล้าน แต่ก็ยังถือว่ากำไรและมากพอที่จะทำให้มีภาคต่อตามออกมาอีก
โดยรวมหนังยังคงดูสนุกครับ อาจจะดร็อปลงจากภาคแรก และความกลมกล่อมในเรื่องสาระอาจลดปริมาณลงบ้าง แต่หนังก็ยังให้ความบันเทิงได้ในระดับที่น่าพอใจ และจุดเด่นอีกอย่างของหนังชุดนี้คือดาราคุ้นหน้ามากันเยอะดีครับ ไม่ว่าจะมาเป็นหลักหรือโผล่มารับเชิญ เชื่อว่าคอหนังยุค 90 – 2000 น่าจะเพลินกับอะไรแบบนี้ มันสุขใจเล็กๆ ยามได้เห็นหน้าพวกเขาน่ะครับ
สองดาวครึ่ง ยังได้อยู่ครับ

(7/10)
หมวดหมู่:Adventure, Comedy, Family, Fantasy, Movie Reviews










