Adventure

Night at the Museum: Battle of the Smithsonian (2009) มหึมาพิพิธภัณฑ์ ดับเบิ้ลมันส์ทะลุโลก

Untitled07237

หนนี้แลร์รี่ เดลี่ย์ (Ben Stiller) ต้องไปผจญภัยที่สมิธโซเนียนครับ ประมาณว่าแผ่นศิลาวิเศษถูกนำไปที่นั่น ส่งผลให้สารพัดหุ่นในพิพิธภัณฑ์ตื่นขึ้นมา และหนึ่งในนั้นก็คือ คาห์มุนราห์ (Hank Azaria) องค์ชายจอมวายร้ายพี่ชายของอัคเมนราห์ (Rami Malek) และเขาก็มีแผนจะเรียกกองกำลังจากต่างมิติมาถล่มโลก

สำหรับผมภาคนี้ยังคงดูสนุกเช่นเคยครับ เพียงแต่แนวทางของเรื่องอาจต่างไปจากภาคแรกหน่อย ตรงที่ภาคแรกนั้นเป็นหนังผจญภัยแฟนตาซีก็จริง แต่หนังก็แทรกเรื่องมิติตัวละครลงไป ไหนจะเรื่องการค้นคว้าหาความรู้ ใช้สติปัญญามาแก้ปัญหาแบบเป็นขั้นเป็นตอน ภาคแรกเลยทั้งสนุกและได้สาระ ในขณะที่ภาคนี้ดูจะเน้นผจญภัยลุยไปข้างหน้าเป็นหลัก ซึ่งในแง่หนึ่งก็พอเข้าใจน่ะครับ เพราะภาคนี้ไปลุยกับที่สมิธโซเนียนที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ เลยมีตัวละครและรายละเอียดเยอะ ซึ่งดูหนังจะเน้นนำเสนอไปที่ความยิ่งใหญ่น่ะครับ เลยไม่ค่อยได้ลงลึกในส่วนของตัวละครต่างๆ แบบภาคแรก การแจกแจงตัวละครก็อาจไม่ค่อยทั่วถึง ซึ่งก็พอเข้าใจได้น่ะครับ

อีกอย่างคือเหล่าตัวละครจากภาคแรกแม้จะตามมาโผล่ในภาคนี้ แต่ก็ไม่ค่อยมีบทบาทครับ กลิ่นอายอบอุ่นเล็กๆ แบบภาคแรกเลยไม่ได้ตามมาด้วย แต่ก็ยังดีที่คู่หูประจำตอนของแลร์รี่อย่างอะมีเลีย แอร์ฮาร์ต มาพร้อมคาแรคเตอร์ที่มีพลัง เปี่ยมชีวิตชีวา อันนี้ก็ต้องชม Amy Adams ด้วยล่ะครับ เธอสวมบทหญิงแกร่งคนนี้ได้อย่างเหมาะเหม็ง ถือเป็นสีสันที่ช่วยหนังไว้ได้เยอะอยู่ – และผมชอบบทสรุปของตัวละครนี้ครับ ถือเป็นอะไรที่เหมาะกับความเป็นอะมีเลีย แอร์ฮาร์ต และสามารถมอบรสชาติซึ้งๆ ให้กับหนังได้อย่างพอเหมาะ – ลืมเธอไม่ลงน่ะครับ ว่างั้นแล้วกัน

ส่วนตัวร้ายอย่างคาห์มุนราห์นั้นก็ออกแนวการ์ตูนอยู่เหมือนกันครับ ก็เข้าใจว่าคงเพราะหนังทำให้เด็กดูได้เลยไม่สามารถโหดได้มากนัก เลยออกแนวฮาๆ ขำๆ ซึ่ง Azaria ก็เล่นได้ฮาดี เพียงแต่ดีกรีความเด่นอาจยังไม่มากอย่างที่ควรจะเป็นเท่านั้นแหละ – เช่นเดียวกับเพื่อนตัวร้ายร่วมจออย่างไอแวน เดอะ เทอร์ริเบิล (Christopher Guest), นโปเลียน โบนาปาร์ต (Alain Chabat) และ อัล คาโปน (Jon Bernthal) ที่มาในโทนการ์ตูนพอกัน

ก็ถือเป็นภาคต่อที่โอเคครับ มันยังคงตอบโจทย์ความบันเทิงได้ดี ในแง่ของสาระแม้จะไม่กลมกล่อมและเป็นเรื่องเป็นราวแบบภาคแรก แต่หนังก็ยังมีแง่คิดสอดแทรกลงมา โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า “บ้านที่แตกแยก ยากจะอยู่รอดได้” ก็ถือเป็นอะไรที่น่านำมาไตร่ตรอง

Night at the Museum: Battle of the Smithsonian

ปมของนายพลคัสเตอร์ (Bill Hader) ที่สะท้อนแง่คิดที่ว่า แม้เราจะเคยทำอะไรผิดพลาดพลั้งไป ทว่าการจมอยู่กับความผิดพลาดนั้นหาได้ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ ไม่ แต่เราควรต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้น ทบทวนมันเพื่อไม่ให้ผิดซ้ำ และหาทางก้าวต่อไป อันนี้ก็ถือเป็นแง่คิดให้กำลังใจสำหรับคนที่เคยล้มเคยพลาดมาก่อนครับ

หรือปมของแลร์รี่ ที่แม้ชีวิตตอนนี้จะได้ดีและมีเงินมหาศาล แต่การทำธุรกิจของเขานั้นกลับไม่ตอบโจทย์ความสุขเหมือนสมัยเป็นยาม จริงๆ ปมนี้เข้าท่า เพียงแต่การนำเสนออาจจะง่ายไปนิดน่ะครับ เหมือนหมักยังไม่เข้าเนื้อมันเลยไม่อินแบบเต็มๆ แต่ยังดีที่ Stiller เล่นบททำนองนี้ได้ดีครับ เลยพอจะกล้อมแกล้มได้อยู่

หนังยังคงทำเงินอยู่ครับ ทำไป $413 ล้าน จากทุนราว $150 ล้าน ก็ทุนเยอะกว่าภาคก่อน แต่รายได้น้อยลงไปหลักร้อยล้าน แต่ก็ยังถือว่ากำไรและมากพอที่จะทำให้มีภาคต่อตามออกมาอีก

โดยรวมหนังยังคงดูสนุกครับ อาจจะดร็อปลงจากภาคแรก และความกลมกล่อมในเรื่องสาระอาจลดปริมาณลงบ้าง แต่หนังก็ยังให้ความบันเทิงได้ในระดับที่น่าพอใจ และจุดเด่นอีกอย่างของหนังชุดนี้คือดาราคุ้นหน้ามากันเยอะดีครับ ไม่ว่าจะมาเป็นหลักหรือโผล่มารับเชิญ เชื่อว่าคอหนังยุค 90 – 2000 น่าจะเพลินกับอะไรแบบนี้ มันสุขใจเล็กๆ ยามได้เห็นหน้าพวกเขาน่ะครับ

สองดาวครึ่ง ยังได้อยู่ครับ

Star22

(7/10)