
ความรู้สึกที่ผมมีต่อ Wonka มันอยู่ในระดับที่พอๆ กับกับความรู้สึกที่มีต่อ Fantastic Beasts ภาคแรก เลยครับ รู้สึกว่าหลายอย่างมาทางเดียวกัน เริ่มจากบรรยากาศสภาพของเมือง ถนนหนทาง ช่องไฟต่างๆ นี่ให้อารมณ์คล้ายกัน ตามด้วยเนื้อเรื่องที่ว่าด้วยชายคนหนึ่งที่เดินทางมาจากต่างเมือง หอบกระเป๋ามาหนึ่งใบและมาพร้อมมนต์วิเศษบางอย่างที่จะสร้างผลกระทบหรือความเปลี่ยนแปลงบางอย่างให้กับเมืองแห่งนี้
อีกอย่างที่รู้สึกคล้ายกันเลยคือดูตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรลึกลับซับซ้อน แต่พอดูไปๆ หนังก็มีปมโผล่มาให้เราเริ่มตาม มีปริศนาให้ตัวละครต้องไข ก่อนทุกอย่างจะขมวดปมเป็นไคลแม็กซ์ที่สเกลใหญ่พอตัว – เนี่ยครับ โครงเดียวกัน ทางเดียวกัน สูตรคล้ายกัน ส่วนผลที่ได้ก็ถือว่าสนุกดูเพลินไม่แพ้กัน
จุดเด่นของหนังต้องยกให้การแสดงลื่นไหลของ Timothée Chalamet ที่เล่นบทไหนได้ใจบทนั้น จะดราม่าแบบ Beautiful Boy, จะโรแมนติกแบบ Call Me by Your Name, จะเบาสมองแบบ A Rainy Day in New York หรือจะเป็นแนวอีพิคจริงจังแบบ Dune พี่แกก็ไปได้หมด ส่วนเรื่องนี้ก็มาในโทนลัลล้าร่าเริง ทั้งร้องทั้งเต้นทั้งแฟนตาซี ทำให้วองก้าในเรื่องนี้ถือว่าพอเหมาะ คือเป็นคนหนุ่มที่มีไฟมีฝันและมีแรงบันดาลใจ และดูแล้วเชื่อว่านายคนนี้จะมาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เมืองนี้ได้จริงๆ
ถ้าในอนาคตจะมีคนจับพี่แกไปเป็นโจ๊กเกอร์หรือเดอะ ริดเลอร์ผมก็จะไม่แปลกใจล่ะครับ
บทสมทบส่วนใหญ่ในเรื่องอาจจะหน้าไม่คุ้นแต่ก็แสดงกันได้ดีครับ Calah Lane ในบทนูดเดิล สาวน้อยที่กลายมาเป็นคู่หูร่วมก่อการสนุกของวองก้า รายนี้ก็เข้าคู่กับ Chalamet ได้โอเค ในขณะที่ Hugh Grant นี่ออกน้อยกว่าที่คิด ตอนดูตัวอย่างนึกว่าพี่จะโผล่เยอะกว่านี้ แต่มาทีไรก็ขโมยซีนได้เรื่อยๆ เช่นเดียวกับ Keegan-Michael Key ที่แย่งซีนได้ไม่เลวกับบทนายตำรวจที่รับประทานส่วยจนพุงกาง – สะท้อนภาพเจ้าหน้าที่ทุจริตได้ชัดเจนอย่างยิ่ง
แล้วก็แอบดีใจที่ได้เห็นหน้าลุง Rowan Atkinson ครับ แค่เห็นหน้าลุงเขาผมก็อารมณ์ดีแล้วล่ะ

หนังถือว่าสนุกครบรสครับ ทั้งความเป็นหนังเพลงที่ดูเพลิดเพลินเจริญใจ มีความเป็นหนังแฟนตาซีสอดแทรก – หลายฉากนี่เนรมิตออกมาได้ตื่นตาน่าดู อย่างฉากตอนวิลลี่เปิดร้านนั่นเป็นอะไรที่น่าจดจำทีเดียว – แล้วก็ได้อารมณ์ผจญภัยเข้ามาหน่อย ช่วงหลังก็มีปมปริศนาให้คลี่คลาย แล้วก็ผสมดราม่าเข้ามาแบบพอดีๆ เรียกว่ามีทุกอย่างที่หนังแนวนี้ควรมี แม้จะไม่ถึงกับสุดยอดก็เถอะครับ แต่ได้ในระดับนี้นี่ก็ถือว่าอยู่ในขั้นมาตรฐาน อยู่ในขั้นดีแล้วล่ะ
ธีมของหนังหลักๆ คือการเดินตามความฝันครับ มีฝันก็ต้องสู้เพื่อมัน เดินหน้าต่อไปเพื่อให้ถึงเป้าหมาย และต้องพร้อมทำใจยอมรับสารพัดอุปสรรคที่จะถาโถมเข้ามากระทบกระแทก
ขณะเดียวกันหนังก็สะท้อนความจริงของโลกที่โลกนี้ย่อมมีทั้งคนดีมีน้ำใจ และคนไม่น่ารักที่คิดแต่จะตักตวงผลประโยชน์เข้าตัวเพียงอย่างเดียว อย่างที่นูดเดิลชอบพูดว่า “คนโลภชนะคนจนตลอดนั่นแหละ” ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ครับว่าโลกมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
พอวิลลี่ได้ยินนูดเดิลพูดแบบนี้บ่อยๆ เขาก็เลยตอบว่า เรานั้นก็ต้อง “เปลี่ยนโลกยังไงล่ะ”
คนโกงมีมากมายในทุกหย่อมหญ้า แต่มันก็ขึ้นกับอยู่กับเราน่ะครับว่าจะปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นต่อไป หรือจะทำอะไรสักอย่างเพื่อเปลี่ยนมัน ซึ่งอันนี้ก็ไม่เถียงว่าในชีวิตจริงใช่ว่าเราจะเปลี่ยนแปลงหรือเอาชนะคนโกงคนโลภได้ง่ายๆ ของแบบนี้ก็ต้องมีแผน มีกลยุทธในการต่อสู้ – เพราะคนโกง คนโลภก็ไม่ได้โง่และถูกโค่นง่ายๆ – เราเองก็ต้องมีวิทยายุทธ มีเครือข่ายคอนเนคชั่นมาช่วยเราในการรับมือเหมือนกัน – แบบที่วิลลี่ทำน่ะครับ เขาไม่ได้โค่นเหล่าเจ้าของร้านช็อคโกแลตจอมโลภด้วยตัวเองเพียงลำพัง แต่เขายังมีเพื่อนไว้คอยช่วยด้วย
หนังกำกับโดย Paul King จาก Paddington ทั้ง 2 ภาค ถ้าว่าตามความรู้สึกแล้วผมว่า Paddington จะกลมกล่อมมากกว่า แต่กระนั้น Wonka ก็ถือว่าตอบโจทย์ความบันเทิงสายแฟนตาซีน่ะครับ อย่างที่บอกนั่นแหละว่าอาจจะไม่สุดยอด แต่ก็ตอบโจทย์ได้น่าพอใจแล้วล่ะ
สองดาวครึ่งสวยๆ ครับ

(7/10)










