
สำหรับคนรักหนังที่โตมากับยุค 90 อย่างผมแล้ว Benny & Joon ทำให้ผมสุขได้แบบ 2 ต่อครับ ต่อแรกคือสนุกกับเรื่องราวอันเรียบง่ายแต่น่าจดจำ เป็นหนังดราม่า Feel Good ตามสไตล์ยุค 90 ที่ดีเรื่องหนึ่ง และความสุขต่อที่ 2 คือได้เห็นหน้าดาราที่คุ้นเคยสมัยยังละอ่อนครับ
หนังบอกเล่าเรื่องราวของ 2 พี่น้องตระกูลเพิร์ล เบนนี่ (Aidan Quinn) และจูน (Mary Stuart Masterson) ที่ต้องใช้ชีวิตกัน 2 คน เบนนี่นั้นทำอู่ซ่อมรถครับ และเขาก็เป็นพี่ใหญ่ที่ต้องคอยดูแลน้องสาวที่มีอาการทางจิตอย่างจูน ที่มักจะควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ค่อยได้ จนไม่มีใครอยากมาเป็นพี่เลี้ยงให้จูนอีกแล้ว ซึ่งเบนนี่ก็เครียดอยู่ครับ เพราะการที่เขาต้องดูแลจูนนั้นทำให้ตัวเองไม่สามารถใช้ชีวิตได้แบบเพื่อนคนอื่นๆ
แต่แล้ววันหนึ่งชายมาดเพี้ยนนามว่าแซม (Johnny Depp) ก็โผล่เข้ามาในชีวิตพวกเขาครับ และแน่นอนว่าชีวิตของพี่น้องคู่นี้กำลังจะเปลี่ยนไป
ถือเป็นหนังรวมดารามีชื่อในยุคนั้นครับ นอกจาก Quinn, Masterson และ Depp แล้วก็ยังมี Julianne Moore ในบทรูธี่ สาวเสิร์ฟที่ได้มาข้องแวะกับพี่น้องตระกูลเพิร์ล, Oliver Platt เป็นเอริค เพื่อนที่อู่ของเบนนี่, CCH Pounder เป็น ดร.การ์วี่ย์ คุณหมอที่คอยติดตามดูแลอาการของจูน, Dan Hedaya เป็นโธมัส และ Joe Grifasi เป็นไมค์ 2 รายนี้ก็เป็นเพื่อนร่วมวงเล่นโป๊กเกอร์ของเบนนี่ และ William H. Macy มาเป็นแรนดี้ ลูกค้าคนหนึ่งที่อู่ของเบนนี่ แต่ละคนนี่บางท่านอาจไม่คุ้นชื่อนะครับ แต่ถ้าเห็นหน้าก็น่าจะจำได้ และในแง่การแสดงแล้ว พวกเขาก็ถือเป็นบทสมทบที่เสริมความน่าสนใจให้กับหนังได้อย่างดี
เรื่องนี้ Depp เด่นพอดูครับ ลีลาท่าทางเพี้ยนๆ ของเขาจัดว่าน่าจดจำ บางฉากก็เล่นใหญ่จนน่าทึ่ง อย่างตอนทำท่าเต้นด้วยขนมปังตามแบบ Charlie Chaplin หรืออย่างฉากที่เขาแสดงท่าสไตล์ Buster Keaton แบบจัดเต็มในสวนสาธารณะนั่น Depp ก็เล่นเองหมดโดยไม่ใช่สตันท์ครับ หรือบางฉากพี่แกก็ด้นสด อย่างตอนที่แซมแตะสีที่ภาพวาดแล้วเอามาชิมนั่นเป็นต้น อันนี้ยอมรับเลยว่าพี่แกมีของตั้งแต่ยุคโน้นแล้ว
Masterson ก็ใช่ย่อยครับ เธอสวมบทหญิงสาวที่มีปัญหาด้านการควบคุมอารมณ์ได้ดี ดูคุ้มดีคุ้มร้ายจนพอจะเข้าใจว่าทำไมเบนนี่ถึงเครียดอยู่ทุกวี่วัน เธอแสดงได้น่าเชื่อจนเรารู้สึกว่าเธอมีอาการเหล่านั้นจริงๆ และว่ากันว่าฉากที่เธอระเบิดอารมณ์บนรถเมล์นั้น หลังถ่ายทำเสร็จเธอก็มาคุยกับผู้กำกับ ว่าเธอจำไม่ได้เลยว่าเธอได้แสดงฉากนั้นไปแล้ว เรียกว่าอินกับบทจนอยู่ในภวังค์เลยทีเดียวครับ – และเกร็ดเล็กๆ ที่อยากบอกคือ สารพัดภาพวาดที่เห็นในหนังนั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นฝีมือของ Masterson เองนั่นแหละครับ
ส่วน Quinn นั้นเผินๆ อาจดูไม่เด่นเพราะเขาไม่ได้แสดงอะไรหวือหวามากนัก แต่การแสดงในบทเรียบๆ นี้ของเขาก็ถ่ายทอดอารมณ์ของพี่ชายที่ต้องแบกความรับผิดชอบออกมาได้ดีครับ โดยเฉพาะการสื่ออารมณ์ทางแววตานี่ หลายฉากเลยครับที่เขาทำให้เรารู้ว่าเบนนี่กำลังคิดอะไร โดยที่ไม่ต้องเอื้อนเอ่ยสักคำ

และอีกหนึ่งตัวละครที่อาจไม่เด่น แต่เชื่อว่าหนุ่มๆ หลายคนน่าจะเตะตา นั่นคือลูกค้าสาวที่มาซ่อมรถและทำท่าว่าสนใจจะรู้จักมักจี่กับเบนนี่ เธอคือ Lynette Walden ครับ ถ้าใครสนใจอยากตามดูหนังที่เธอแสดงเป็นตัวเอกล่ะก็ ขอแนะนำ The Silencer (1992) ครับ
ถือเป็นหนังชีวิตที่น่าดูครับ นักแสดงดี เรื่องราวแม้จะเรียบง่ายแต่ก็มีปมมีประเด็นให้เราติดตามดูด้วยความอยากรู้ว่าท้ายที่สุดแล้วชีวิตของพวกเขาจะไปทางไหนต่อ เป็นงานกำกับที่อยู่ในขั้นดีของ Jeremiah S. Chechik ที่เคยแจ้งเกิดจากหนังอย่าง National Lampoon’s Christmas Vacation เสียดายที่พอถัดจากเรื่องนี้แล้ว เขาก็เข้าสู่ช่วงขาลงครับ ไม่ว่าจะ Diabolique และ The Avengers (1998) โดยระยะหลังเขาก็ผันตัวไปกำกับหนังทีวีหรือไม่ก็ซีรี่ส์แทน
กล่าวกันว่าจริงๆ แล้วคนที่จะมารับบทจูนนั้น ตอนแรกคือ Winona Ryder ครับ ตอนนั้นเธอกับ Depp กำลังคบกันอยู่เลยอยากเล่นหนังคู่กัน แต่พอพวกเขาเลิกกัน Ryder ก็เลือกที่จะเดินออกจากโปรเจคท์ไป
ส่วนคนที่ทางผู้สร้างอยากให้มาแสดงนำนั้น ก็เคยมีชื่อของ Tom Hanks, Julia Roberts, Tim Robbins และ Susan Sarandon อยู่ในลิสต์ครับ และอีกคนที่เกือบจะได้มาแสดงเรื่องนี้ก็คือ Woody Harrelson ซึ่งจะมารับบทเบนนี่ โดยมีการเซ็นต์สัญญาเรียบร้อย แต่แล้ว Harrelson ก็เลือกไปเล่น Indecent Proposal แทน ส่งผลให้ผู้สร้างฟ้องร้อง Harrelson เพื่อเรียกค่าเสียหายที่ทำผิดสัญญาด้วยตัวเลขกว่า $5 ล้านครับ แต่ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็ไปตกลงกันได้นอกศาล
อีก 3 สิ่งที่มีส่วนทำให้หนังมีความกลมกล่อมก็คือเพลง Soundtrack เหมาะๆ โดยเฉพาะเพลง I’m Gonna Be (500 Miles) ของ The Proclaimers ที่ Chechik เลือกมาเป็นเพลงเปิดได้อย่างเหมาะเหม็ง กับดนตรีประกอบของ Rachel Portman ที่เซ็ตโทนของหนังได้แบบกำลังดี เป็นกึ่งๆ หนังชีวิตผสมเรื่องในครอบครัว แล้วบวกด้วยตัวละครที่มีเอกลักษณ์แบบแปลกๆ ผสมกันลงไป
และผู้กำกับภาพ John Schwartzman ที่ถ่ายช็อตเหมาะๆ ให้กับหนัง โดยเฉพาะภาพสายน้ำที่อยู่ติดกับบ้านของพี่น้องเพิร์ล ทำให้หลายซีนดูสวยขึ้นแบบถนัดตา ยิ่งฉากที่แซมเดินเข้าไปในห้องแกลเลอรี่ของจูนเป็นครั้งแรกน่ะครับ เราจะได้เห็นสายน้ำเป็นฉากหลังให้กับห้องนั้น เป็นซีนที่วางได้ดีมากซีนหนึ่งครับ
เป็นอีกหนึ่งหนังชีวิตยุค 90 ที่น่าจดจำครับ ดูได้เพลินๆ ตอบโจทย์บันเทิงก็ได้ หรือจะดูแล้วย้อนไตร่ตรองมองมาที่ชีวิตตนก็ได้เช่นกัน เพราะเชื่อว่าคงมีหลายคนน่ะครับที่ต้องคอยรับผิดชอบชีวิตของคนอื่นๆ ในครอบครัว บางทีการดูหนังเรื่องนี้อาจทำให้ท่านฉุกคิดถึงอะไรบางอย่าง หรือไม่ก็อาจมองเห็นคำตอบของบางคำถามที่คาอยู่ในใจท่านก็ได้
สำหรับผมที่หมวกใบหนึ่งก็คือหัวหน้าครอบครัว ดูแล้วก็ชวนให้คิดครับ ว่าเรานั้นอาจต้องดูแลคนในครอบครัวก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะเฝ้าดูแลเขาเสมอไป เมื่อถึงจุดหนึ่งเราก็ต้องเปิดโอกาสให้พวกเขาที่เติบโตขึ้น (เช่น ลูก) ได้ลองเดินด้วยตนเอง ได้ลองผิดลองถูกด้วยตนเอง และบางครั้งเราก็ต้องเชื่อใจเชื่อมั่นว่าเขาทำได้ เปลี่ยนจากคนที่ต้อง “แบก” มาเป็น “แบ็ค (Back)” คอยหนุนคอยประคองให้พวกเขาใช้ชีวิตต่อไป
เพราะยังไงสักวันพวกเขาก็ต้องอยู่โดยไม่มีเรา
สองดาวครึ่งบวกๆ ครับ

(7.5/10)
หมวดหมู่:Comedy, Drama, Movie Reviews, Recommended Movies, Romance, Romance Romance










