Christmas Movies

Holiday Harmony (2022) ประสานรัก ที่พักใจ

Untitled06978

บางทีเวลาเจอหนังที่เราชอบแบบไม่ทันตั้งตัวนี่มันก็รู้สึกดีเหมือนกันนะครับ

Holiday Harmony เล่าถึงเรื่องของ เกล ทราเวอร์ส (Annelise Cepero) หญิงสาวผู้มีความฝันจะเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียง และล่าสุดเธอได้โอกาสไปเล่นเปิดรายการพิเศษวันคริสต์มาสของไอฮาร์ตเรดิโอที่เธอใฝ่ฝัน เพราะงานนี้จะทำให้เธอเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เธอเลยขับรถตู้คู่ใจเดินทางไปให้ถึงไอฮาร์ตเรดิโอ

แต่ทีนี้ระหว่างทางดันเกิดอุบัติเหตุครับ รถเธอเสียหลักไปชนข้างทาง และต้องใช้เวลาซ่อมอีกพักใหญ่ แล้วเธอก็ตระหนักว่าตอนนี้เธออยู่ในเมืองที่ชื่อฮาร์โมนีสปริงส์ ในโอคลาโฮมา และปัญหาด่วนในตอนนี้คือเธอต้องหาเงินมาเป็นค่าซ่อมรถครับ ก็ราวๆ 2,000 เหรียญ แต่ตอนนี้เธอมีแค่ 500 กว่าเหรียญเท่านั้น เธอเลยจำต้องหางานทำในเมืองนั้นไปก่อน

ในที่สุดเธอก็ได้งานเป็นครูสอนดนตรีให้กับเด็กๆ ในโรงเรียนแถบนั้น แล้วก็ตามสูตรน่ะนะครับ เธอได้รู้จักกับช่างซ่อมรถนามว่าเจเรมี่ (Jeremy Sumpter) ผมเล่าแค่นี้ก็คงจะพอเดาต่อได้แล้วน่ะนะครับ ว่าสุดท้ายแล้วชีวิตพวกเขาจะไปทางไหนต่อ

หนังเข้าท่ากว่าที่คิดครับ คือมันก็เป็นหนังรักวันคริสต์มาสน่ะแหละ เพียงแต่อะไรๆ ในเรื่องมันเข้าท่าและกลมกล่อมพอตัว ไม่ได้เน้นความหวานระหว่างพระนางเพียงอย่างเดียว ซึ่งผมว่าความดีส่วนสำคัญเลยมาจากบทครับ บทมันมีรายละเอียดและมีหัวใจของมัน ตัวละครหลักก็มาพร้อมคาแรคเตอร์ที่น่าจดจำ อย่างเกลนี่ก็เป็นสาวแกร่ง มีความมุ่งมั่น มีจิตใจดี และที่สำคัญคือเธอเป็นคนมีของครับ ดูแล้วเราเชื่อจริงๆ ว่าผู้หญิงคนนี้ร้องเพลงและเล่นดนตรีเก่ง จนเราอดไม่ได้ที่จะเชียร์ให้เธอไปถึงฝั่งฝัน

แล้วก็กลายเป็นว่าระหว่างทางก่อนเธอจะไปถึงฝั่งฝันนั้น ก็มีเหตุการณ์ในเมืองฮาร์โมนีสปริงส์เกิดขึ้นเสียก่อน ซึ่งหลายเหตุการณ์ในเมืองนี้ก็มีส่วนให้เธอมองเห็นตัวตนชัดขึ้น รวมถึงค้นเจอสิ่งที่เธอต้องการจริงๆ นั่นคือ ครอบครัว (เพราะที่ผ่านมาเธอไม่มีใครครับ เป็นเด็กกำพร้า โตมาแบบตัวคนเดียว)

และเมื่อเรื่องดำเนินไปถึงตอนท้าย หนังก็ทำให้เห็นครับว่าอะไรกันแน่ที่เธอต้องการ โดยที่บทเขียนเรื่องราวและสถานการณ์ออกมาได้ค่อนข้างดี คือดูแล้วเราเชื่อตามนั้นและเข้าใจน่ะครับว่าเพราะอะไรเกลถึงตัดสินใจแบบนั้นในตอนท้าย – อันนี้ต้องขยายความหน่อยครับว่า บทสรุปแบบในหนังน่ะ จริงๆ มันคือบทสรุปแบบที่เราเจอแทบจะทุกครั้งในหนังแนวนี้น่ะแหละ แต่ประเด็นคือไม่ใช่ทุกเรื่องที่จะดูแล้วสมเหตุสมผล บางเรื่องแม้จะจบแบบนี้แต่ก็เหมือนเป็นการจบตามสูตร จบตามบทกำหนด แต่กับเรื่องนี้บทมันโอเคครับ ทำให้การแลนดิ้งเรื่องราวมันกำลังเหมาะ ทำให้เราเชื่อไปกับเรื่องราว และผมเชื่อว่าบางคนอาจจะถึงขั้นอินเลยล่ะ

Untitled06979

คนต้นคิดเรื่องบทนั้นคือ Christopher James Harvill ที่เคยมีงานเขียนบทมาแค่เรื่องเดียวในปี 2008 อย่าง Necessary Evil แล้วก็โดดมาเรื่องนี้เลยครับ ซึ่งบทของเขาก็ได้รับการเกลาอีกรอบโดย Lauren Swickard ซึ่งผมคุ้นรสมือเธอมาจาก A California Christmas ทั้ง 2 ภาค และผมรู้สึกได้ตั้งแต่ตอนนั้นครับว่าเธอคนนี้เป็นคนมีของ บทที่เธอเขียนมักมีรายละเอียดดีๆ และน่าสนใจผสมอยู่ อย่างเรื่องนี้จะว่าไปมันก็คือบันทึกการเดินทางของเกลน่ะครับ ว่าเธอได้เจอกับอะไรบ้างในทริปหนนี้ และมันช่วยให้เธอค้นเจออะไรในตนเองบ้าง

อ้อ และเรื่องนี้ Swickard เธอก็โดดลงมาร่วมเล่นด้วยนิดหน่อยครับ ในบทลีล่า เพื่อนซี้ของเกลที่มีบทตอนต้นเรื่องน่ะครับ

ว่าตามจริงหนังไม่ได้สมบูรณ์แบบอะไรครับ แต่ถึงไม่สมบูรณ์มันก็ยังมีดีในแบบของมัน คือหนังมีทิศทาง มีพล็อตที่ดูได้เรื่อยๆ และน่าติดตามพอตัว ซึ่งพลังส่วนหนึ่งก็คือดาราในเรื่องที่ถือว่าสวมบทได้เหมาะและถ่ายทอดได้ดี ไม่ว่าจะ Cepero ในบทเกล, Sumpter ในบทเจเรมี่ พวกเขาทั้งคู่ดูเคมีเข้ากัน มันสังเกตได้ตอนพวกเขาคุยและใช้เวลาร่วมกันน่ะครับ ดูแล้วมันรู้สึกว่าพวกเขาดูคลิ้กกันดีจัง

แล้วก็ตามธรรมเนียมของหนัง HBO Max ที่จะต้องมีดารามีชื่อมาแจม ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้ Brooke Shields มาสมทบในบทซาแวนนาห์ หรือ แวน แม่ของเจเรมี่ ที่อาจจะไม่ได้ปรากฏตัวเยอะ แต่ขึ้นจอทีไรเธอก็มีพลังพอที่จะขโมยซีน และบางจังหวะก็มอบความอบอุ่นให้กับหนังได้อย่างพอเหมาะ และอีกคนที่ค่อนข้างขโมยซีนก็คือ Carla Jimenez ในบทราเชล ที่ผมเชื่อว่าเธอจะทำให้คุณจำได้อย่างรวดเร็วตั้งแต่ซีนแรก (คนที่ร้องเกะบนเวทีน่ะครับ)

ผมมีความสุขระหว่างดูครับ บอกได้เลย เพราะหนังมันถูกใจ องค์ประกอบอาจไม่ได้สุดยอด แต่มันกลมกล่อม และตัวบทมันก็เข้าท่า มันผสมหลายสูตรเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะสูตรหนังรักวันคริสต์มาส สูตรหนังคนเดินตามความฝัน สูตรหนังครูกับนักเรียน ของชอบทั้งนั้นครับ และแม้หนังจะไม่ได้นำเสนออะไรทั้งหมดนั้นแบบยอดเยี่ยมก็ตาม บางอย่างอาจแค่แตะๆ (อย่างเรื่องที่เกลไปสอนเด็กๆ) แต่มันก็แตะในระดับที่โอเค คือไม่ได้แตะแบบตื้นเขิน แต่เป็นการแตะแบบพอได้รส ได้กลิ่น ได้อารมณ์ คือถ้าแตะน้อยกว่านี้ผมอาจจะเฉยๆ หรือถ้าแตะมากกว่านี้ผมคงรู้สึกว่ามันยอดเยี่ยม แต่ผลที่ได้คือมันแตะในระดับกลางๆ ค่อนไปทางบวกน่ะครับ คือไม่ได้รู้สึกว่ามันยอด แต่ก็อยู่ในโซนรู้สึกชอบแบบไม่อาจมองข้ามได้

ถ้าให้นิยามความรู้สึกที่ผมมีต่อหนังเรื่องนี้ก็คงประมาณนั้นน่ะครับ คือไม่ได้สุดยอด แต่ก็ยังรู้สึกชอบ รู้สึกสัมผัสได้ถึงความน่าสนใจที่หนัง สัมผัสได้ถึงอะไรดีๆ ที่หนังนำเสนอ และสัมผัสได้ถึงอารมณ์บวกๆ อารมณ์ Feel Good ที่เจืออยู่ภายใน

โดยส่วนตัวผมแนะนำเรื่องนี้ครับ มันถูกจริตผม และน่าจะถูกใจท่านที่ชอบหนังแนวโรแมนติกวันคริสต์มาสหลายๆ ท่าน – หนังเรื่องนี้กำกับโดย Shaun Paul Piccinino ที่เคยทำ A California Christmas นั่นแหละครับ – เรียกว่ายกทีมกันมาพร้อมๆ กับ Lauren Swickard เลย – ซึ่งผมยกให้หนังเรื่องนี้เป็นงานที่เข้าท่าและกลมกล่อมที่สุดของเขาครับ (จนถึงตอนนี้นะครับ)

ถ้าผมแนะนำแล้วท่านไม่ชอบ ผมก็ต้องขออภัยครับ แต่ถ้าผมไม่แนะนำหนังเรื่องนี้ออกไป ผมคงรู้สึกเสียดายมากเลยล่ะ อุตส่าห์เจอหนังเข้าท่าแล้วเชียว

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7/10)