
ออกตัวเลยครับว่าไม่คาดหวังกับ A Hollywood Christmas เรื่องนี้ ไม่ว่าจะเพราะเสียงร่ำเสียงลือเชิงลบจนความคาดหวังลดลงโดยอัตโนมัติ แล้วหนังก็กำกับโดย Alex Ranarivelo ที่ผมเพิ่งเฉยกับงานชิ้นก่อนอย่าง A Christmas Mystery มาหมาดๆ
ครั้นพอได้ดู ผมกลับรู้สึกว่ามันเพลินดีแฮะ
หนังเล่าถึงเจสสิก้า (Jessika Van) ผู้กำกับสาวที่ชอบทำหนังแนววันคริสต์มาสครับ ทีนี้ระหว่างที่เธอกำลังทำเรื่องล่าสุดอยู่ก็มีผู้บริหารของทางช่องนามว่า คริสโตเฟอร์ (Josh Swickard) ที่ถูกส่งตัวมาเพื่อบอกว่าช่องกำลังจะยุบแผนกหนังคริสต์มาส และงานชิ้นปัจจุบันที่เธอกำลังทำอยู่นี่ก็อยู่ในขั้นลูกผีลูกคน จะถ่ายเสร็จแบบราบรื่นไหมก็ต้องมาลุ้นกันอีกที
ถ้าถามว่าทำไมผมถึงโอเคกับหนัง อย่างแรกเลยน่าจะเพราะหนังทำออกมาในแนวแซวสูตรหนังรักวันคริสต์มาสน่ะครับ เพราะเนื้อหาว่าด้วยการทำหนังคริสต์มาสใช่ไหมฮะ มันเลยจะมีบทสนทนาวิพากษ์หรือจิกกัดแซวสูตรของหนังแนวนี้ เช่น สูตรของหนังแนวนี้นี่ตัวเอกฝ่ายหนึ่งจะต้องเป็นคนที่ทำกิจการอะไรสักอย่างในเมืองเล็กๆ แล้วตัวเอกอีกฝ่ายก็จะต้องมาจากเมืองใหญ่ มาเพื่อทำอะไรสักอย่างที่จะส่งผลกระทบต่อฝ่ายที่อยู่ในเมืองเล็กๆ เช่น จะมาปิดกิจการบ้างล่ะ หรือจะมาซื้อตึกซื้อที่ดินเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงบ้างล่ะ แล้วจากนั้นฝ่ายที่อยู่ในเมืองเล็กๆ ก็จะต้องพิสูจน์ตัวเอง สู้ด้วยพลังแห่งความรัก จนสามารถเอาชนะทุกปัญหาไปได้ มากี่เรื่องก็จะใช้สูตรประมาณนี้
แล้วหนังก็เดินเรื่องแบบยั่วล้อกับสูตรนี้น่ะครับ เป็นแบบหนังซ้อนหนัง คือพล็อตในหนังที่เจสสิก้ากำกับก็ดำเนินไปตามสูตรนี้ ในขณะที่ตัวเจสสิก้าเองก็กำลังมีชีวิตที่เข้าสูตรนี้เหมือนกัน ทำให้คนที่คุ้นเคยกับหนังสูตรนี้แบบผมรู้สึกเพลินอยู่เหมือนกัน คือมันอาจจะไม่ได้แซวแบบคมเข้มหรือยอดเยี่ยมอะไรน่ะนะครับ แต่มันก็พอได้ เพลินๆ ดี เพราะหนังประเภทแซวสูตรหนังคริสต์มาสแบบนี้ยังไม่ค่อยมีคนทำออกมา พอเจอเรื่องนี้แม้มันจะไม่ถึงกับดีมาก แต่มันก็ทำออกมาได้โอเค ดูเพลินในระดับหนึ่ง
แล้วดาราก็ถือว่าโอเคด้วยน่ะครับ Van ก็ถือว่าเล่นได้โอเค แม้จะไม่ถึงกับดีมาก แต่ก็ใช้ได้ครับ ส่วน Swickard นี่ถือว่าถนัดแนวนี้อยู่แล้ว (หลายคนน่าจะจำเขาได้จาก A California Christmas ทั้ง 2 ภาค) มาเรื่องนี้ก็ถือว่าเล่นได้ดีพอๆ กับเรื่องก่อนครับ แต่รายที่ผมชอบเป็นพิเศษคือ Riley Dandy ที่แสดงเป็นแอชลี่ย์ นางเอกในหนังที่เจสสิก้ากำกับอีกที รายนี้ได้แสดงหลากหลายกว่าชาวบ้านครับ คือแสดงเป็นดาราในกองถ่ายก็จะอย่างหนึ่ง แล้วบทในหนังที่แสดงก็จะมาอีกมาดหนึ่ง ซึ่งผมว่าเธอเล่นได้ดีน่ะครับ อย่างซีนที่เธอแสดงในหนังแล้วต้องทำหน้าเศร้าซึมเพราะขายคัพเค้กสูตรใหม่ไม่ได้เลย ฉากนั้นผมว่าเธอเล่นได้ดี ดูน่าเห็นใจแบบจริงๆ จังๆ – เธอคนนี้ก็เคยเป็นนางเอกในหนังรัก Netflix อย่าง That’s Amor เหมือนกัน

และอีกหนึ่งตัวละครที่ผมเชื่อว่าคงมีทั้งคนที่ชอบและรำคาญเธอ คือ รีน่า (Anissa Borrego) ผู้ช่วยของเจสสิก้าที่มองว่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้เป็นการเดินตามสูตรคริสต์มาส เวลาเกิดปัญหาอะไรเธอเลยพยายามมองหาวิธีแก้โดยใช้สูตรหนังคริสต์มาสมาเป็นแนวทาง ซึ่งผมมองว่าตัวละครนี้น่ารักและฮาดีครับ แต่ด้วยน้ำเสียงของเธอและลีลาในบางช่วงผมก็เชื่อเหมือนกันว่าคงมีคนรำคาญเสียงแหลมๆ ของเธอ อันนี้ก็คงเข้าข่ายลางเนื้อชอบลางยาน่ะครับ
แล้วก็เหมือนจะเป็นประเพณีของหนังคริสต์มาสจากค่าย HBO Max ที่จะต้องเชิญดาราหน้าคุ้นอย่างน้อยหนึ่งคนมาโผล่ร่วมจอ ซึ่งสำหรับเรื่องนี้ก็คือ Missi Pyle มาในบทเทรีซ่า ฟรอสต์ ประธานช่องคนใหม่ รายนี้ก็ถนัดนักล่ะครับกับการขโมยซีน แล้วก็มาเพื่อประดับชื่อในเครดิตว่ามีดาราระดับหนังเมเจอร์มาร่วมเจอด้วยนะ อะไรประมาณนี้
ว่าตามจริงหนังอาจไม่ถึงกับกลมกล่อมเต็มร้อยน่ะครับ มีบ้างบางช่วงที่ดูขาดดูเกิน หรืออารมณ์บรรยากาศสไตล์วันคริสต์มาสก็ยังไม่ถึงระดับแบบหนัง Hallmark จะไม่เชิงสดใสเต็มไปด้วยไฟประดับ ซึ่งก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่านี่เป็นโทนของหนังคริสต์มาสจากฟาก HBO หรือเป็นโทนของผู้กำกับ Ranarivelo ก็คงต้องหาหนังคริสต์มาสของ HBO มาดูอีกหน่อยน่ะนะครับ จะได้เข้าใจทางของเขามากขึ้น
แล้วพอมานั่งนึกๆ ดูแล้ว ผมว่าเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผมโอเคกับหนังน่าจะเป็นเพราะดนตรีโดย Jamie Christopherson น่ะครับ ฟังแล้วเข้าท่ากว่าที่คาด ดนตรีที่เขาบรรเลงในหนังเรื่องนี้จะมาในโทนแบบหนังเพลงสมัยเก่าน่ะครับ หรือถ้าเทียบกับสมัยใหม่หน่อยก็จะประมาณ La La Land น่ะครับ โทนแบบนั้นเลย มันเลยทำให้หนังเรื่องนี้ดูมีบรรยากาศที่น่าสนใจขึ้น หลายช่วงที่เดียวที่ภาพตรงหน้าอาจไม่ได้เลิศล้ำอะไร แต่ด้วยทำนองดนตรีที่บรรเลงอย่างพอเหมาะ มันเลยทำให้หนังดูดีขึ้นซะอย่างงั้น – อันนี้แนะนำเลยครับสำหรับคนที่ชอบหนังที่มีดนตรีโทนแบบหนังเพลงแบบ La La Land ท่านน่าจะพึงพอใจไม่มากก็น้อย อย่างผมนี่รู้สึกบวกกับหนังก็เพราะดนตรีนี่แหละครับ ทำเอาผมยิ้มได้ไปจน End Credits ขึ้นเลย
จริงๆ บทหนังน่าสนใจครับ และหนังสามารถใส่สาระดีๆ เกี่ยวกับหนังคริสต์มาสได้อีกพอตัว ไม่ว่าจะการจาระไนวิพากษ์สูตรของหนังแนวนี้ หรือสะท้อนคุณค่าของหนังแนวนี้ซึ่งก็ถือว่าทำได้ในระดับหนึ่งครับ เพียงแต่ยังไม่ถึงเครื่องแบบเต็มๆ
สรุปคือบทน่าสนใจ ดาราก็โอเค (มีทั้งดีเยอะ ดีกลางๆ) ที่ดีมากหน่อยและช่วยหนังไว้ได้มากหน่อยคือดนตรีประกอบ ในขณะที่การเล่าเรื่องของผู้กำกับก็อาจจะอยู่ในระดับกลางๆ โดยรวมหนังก็เลยถือว่ากลางๆ น่ะครับ ดูได้เรื่อยๆ (เพียงแต่ผมอาจจะชอบมากกว่าคนอื่นเขาหน่อย เพราะหนังมันถูกจริตตอนแซวหนังคริสต์มาสและมาพร้อมดนตรีดีๆ) – ขอเพียงไม่คาดหวัง ผมเชื่อว่าท่านน่าจะพอเพลินกับหนังเรื่องนี้ได้ครับ
สองดาวกว่าๆ ครับ

(6.5/10)










