Comedy

Bedazzled (2000) บีแดซเซิลด์ 7 พรพิลึก…เสกคนให้ยุ่งเหยิง

Untitled06947

Bedazzled เป็นหนังที่ผมรู้สึกชอบตั้งแต่รอบแรกที่ดูครับ คือมันอาจจะไม่ได้ดีเลิศยอดล้ำอะไรนะ แต่มันดูสนุก ดูเพลิน ดาราก็เล่นกันลื่นดี และมันยังโดนใจแบบลึกๆ ในบางฉาก พร้อมได้แง่คิดติดปลายนวมกลับมาด้วย

เรื่องของเอลเลียต (Brendan Fraser) หนุ่มออฟฟิศสุดเนิร์ดที่เป็นตัวตลกของเพื่อนร่วมงาน และเขาก็แอบรักอลิสัน (Frances O’Connor) ที่ทำงานในตึกเดียวกัน แต่คนหงอๆ อย่างเขาอย่าว่าแต่จีบเลยครับ แค่คุยก็ไม่กล้าแล้ว เขาเลยได้แต่แอบมองเธอและเฝ้าภาวนาว่าเขายอมแลกทุกสิ่งเพื่อให้ได้ครอบครองหัวใจของอลิสัน

แล้วซาตานสาว (Elizabeth Hurley) ก็ตอบรับคำขอนั้นครับ เธอยื่นข้อเสนอว่าจะให้พรกับเอลเลียต 7 ข้อโดยต้องแลกกับดวงวิญญาณของเขา ตอนแรกเอลเลียตก็ยังคิดๆ อยู่ครับ แต่พอซาตานหว่านล้อมมากๆ เข้า ในที่สุดเขาก็ตกหลุมแล้วก็เซ็นต์สัญญาเริ่มขอพร ทว่าพรแต่ละข้อที่เขาได้นั้นมันกลับมีเหตุให้ต้องลงเอยแบบเละเทะทุกทีไป – เป็นไปตามชื่อไทยน่ะครับ เสกพรมาทีไน ชีวิตยุ่งเหยิงทุกที

เหตุหนึ่งที่หนังโดนใจผมอาจเพราะพอดีเคยมีประสบการณ์แอบรักน่ะครับ เลยอินกับความรู้สึกของเอลเลียต คือยามเราชอบใครสักคนนี่เราจะไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง เอาแค่จะคุยกับคนที่เราชอบนี่ก็เรื่องใหญ่ล่ะครับ คือเราอาจจะพูดจากับคนได้ทั้งจักรวาลนะ แต่การจะเปิดปากคุยกับคนที่รักนี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ปากมันจะหนัก ลิ้นมันจะแข็ง สติมันจะเกร็ง – อันว่าการจีบนั้นสำหรับบางท่านอาจเป็นของง่ายน่ะนะครับ แต่สำหรับคนแบบผมนี่มันเรื่องใหญ่ครับ ใหญ่มากจริงๆ

ผมเลยเข้าใจเอลเลียตได้ไม่ยากว่าทำไมเขาถึงยอมตกลงกับซาตาน – ไม่แปลกครับหากเราจะยอมแลกทุกอย่างเพื่อขอให้เขารักเราตอบ ดังนั้นถ้ามีใครมาให้พรเสกให้เขารักเราได้จริงๆ ล่ะก็ เราก็แทบจะตะครุบข้อเสนอเลยล่ะ

แล้วหนังก็ทำออกมาได้บันเทิงดีด้วยครับ ความสนุกอยู่ที่มุกฮาต่างๆ ที่หนังใส่ลงมาแบบเนียนๆ พอเหมาะ และคนที่ต้องยกนิ้วให้เลยคือ Fraser ครับ คือยุคนั้นนี่ได้ดูหนังที่พี่แกเล่นมาหลายเรื่องน่ะนะครับ แต่มาตระหนักว่าพี่เขาเล่นหนังเก่งแบบจริงๆ จังๆ ก็เรื่องนี้แหละ เพราะเขาต้องเล่นเป็นเอลเลียตในหลายเวอร์ชั่น ตั้งแต่เวอร์ชั่นเนิร์ดในร่างปกติ ไหนจะเวอร์ชั่นพ่อค้ายา ศิลปินอารมณ์อ่อนไหว นักกีฬาร่างบึ้ก นักเขียนไฮคลาส เรียกว่าเล่นเรื่องเดียวพลิกบทบาทให้เราดูแบบอุตลุด แล้วพี่เขาก็เล่นตามคาแรคเตอร์เหล่านั้นได้ดีด้วยครับ ยอมฮาก็ฮาได้ที่ ยามจะดราม่าแววตาพี่เขาก็สื่อความรู้สึกได้ตามนั้น

Untitled06948

อีกคนที่ตีคู่มาเลยก็คือ Hurley ครับ เธอเป็นนางมารร้ายได้จี๊ดถึงใจ แต่ขณะเดียวกันก็ร้ายแบบขำๆ ร้ายแบบเรียกรอยยิ้ม (บางครั้งก็ออกแนวน่าหยิก) ซึ่งผมชอบนะ มันเข้ากับโทนเบาๆ ของหนังดี – ถ้าให้เธอมาร้ายเป็นเรื่องเป็นราว รสชาติหนังอาจแปร่งไปก็ได้

และที่ประมาทไม่ได้คือเหล่าดาราสมทบครับ คือกลุ่มเพื่อนร่วมงานของเอลเลียตที่ได้ไปมีบทบาทตามสตอรี่ของพรต่างๆ ที่เอลเลียตได้รับ สารภาพว่าฮามากๆ กับบทที่ Toby Huss เล่นตอนเอลเลียตเป็นนักเขียนไฮคลาสน่ะครับ – แล้วก็ฮายิ่งขึ้นกับปฏิกิริยาของเอลเลียตในร่างนั้น – ถือเล่นได้ดีมากจริงๆ ส่วน Frances O’Connor จริงๆ เธอก็เล่นดีครับ แต่ก็ดูจะโดน Fraser กับ Hurley แย่งความเด่นไปพอสมควร

หนังกำกับโดย Harold Ramis หนึ่งในหมอผีไฮเทคแห่ง Ghostbusters ที่เคยทำ Groundhog Day ไว้อย่างน่าจดจำ ส่วนเรื่องนี้ก็ถือว่าดูเพลินครับ มีความกลมกล่อมในแบบของมัน ช่วงครึ่งแรกถือว่าสนุกใช้ได้ อาจมีดูอ่อนๆ ลงบ้างตอนครึ่งหลัง แต่พอถึงตอนจบก็สรุปลงได้ดีครับ

ผมชอบฉากในคุกนะ ฉากนี้เอลเลียตจะได้เจอกับตัวละครหนึ่งซึ่งดูแล้วท่านคงเดาได้ว่าเขาเป็นใคร ผมชอบที่ฉากนี้สอนเราแบบง่ายๆ ตรงๆ ว่าชีวิตคนนั้นย่อมมีทั้งสุขและทุกข์ มีทั้งสมหวังและผิดหวัง มีทั้งถูกต้องและผิดพลาด แต่สารพัดสิ่งที่เราเจอในชีวิตนั้นก็คือครูที่มีไว้สอนให้เราเติบโตขึ้นตามลำดับ มีไว้ให้รู้จักชีวิตมากขึ้น ถ้าเราเปิดใจเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ แม้ต่อไปเราจะเจอกับสิ่งผิดพลาดอีก แต่ขนาดของปัญหามันก็จะเล็กลง และความแข็งแกร่งของเราก็จะมากขึ้น ภูมิคุ้มกันเราจะสูงขึ้น

แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องใช้ชีวิตครับ ต้องกล้าก้าวกล้าเดิน บทเรียนชีวิตมันถึงจะผ่านเข้ามาได้ ถ้าทำแล้วไม่สำเร็จก็ลองใหม่ ถ้าหากเสียใจเจ็บช้ำก็ร้องไห้ออกมา ให้น้ำตาขับความทุกข์ในใจแล้วก็ก้าวต่อไป เพราะวันพรุ่งนี้ยังมีเสมอ ตราบใดที่ยังมีชีวิต

และที่สำคัญอีกอย่างก็คือ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน เราจะมัวรอความช่วยเหลือจากใครหรือขอให้ใครช่วยเราไปตลอดน่ะมันไม่ได้หรอก หากอยากได้อะไรเราเองนี่แหละที่จะต้องลงมือทำ

อย่างเอลเลียตเองในที่สุดก็ต้องเดินเข้าไปคุยกับอลิสัน ไปเผชิญความจริง ไปลองฟังคำตอบว่าหากเขาอยากคบกับเธอน่ะ มันจะได้หรือไม่

Untitled06949

เกร็ดเล็กๆ ที่อยากนำมาบอกคือ ฉากที่เอลเลียตจอมเซนซิทีฟเล่นกีต้าร์นั้น เสียงกีต้าร์ที่เราได้ยินน่ะจริงๆ เล่นโดย Ramis ครับ และตอนแรกเขาเกือบจะไม่ได้กำกับเรื่องนี้ เพราะถูกเชิญไปทำ Galaxy Quest แต่จนแล้วจนรอด Ramis ก็อยากทำเรื่องนี้มากกว่า เขาเลยยอมสละเก้าอี้จาก Galaxy Quest มาทำหนังเรื่องนี้ครับ

ในความทรงจำของผมนั้น จำได้ว่าหนังไม่ประสบความสำเร็จทางรายได้ ทำเงินในอเมริกาไปแค่ $37.8 ล้าน ในขณะที่ทุนสร้างน่ะปาเข้าไป $48 ล้าน แต่ค่อยมารู้ทีหลังว่าหนังทำเงินทั่วโลกไปได้ราว $90 ล้านครับ ก็ถือว่าพอได้ทุนคืน แต่ก็ถือว่าไม่เข้าเป้าอยู่ดี

ถือเป็นหนังที่ดูสนุกครับ พร้อมได้แง่คิดดีๆ และอาจถึงขั้นสร้างแรงบันดาลใจสำหรับบางคน ส่วนผมนั้นอยู่ในข่ายชอบครับ โดยเฉพาะฉากในคุกที่มักจะเอามานึกถึงอยู่เรื่อยๆ ในบางจังหวะของชีวิต ผมว่าฉากนี้ทำได้ดีครับ จังหวะการสนทนา และเพลงที่ใช้ในฉากนี้ก็เหมาะแบบสุดๆ (เป็นช่วงอินโทรของเพลง Makambo ของ Geoffrey Oryema ครับ)

สองดาวใกล้ครึ่งครับ

Star21

(6.5/10)