
แรกเริ่มเดิมที Home Alone 3 จะเป็นเรื่องราวช่วงวัยรุ่นของเควิน ตัวเอกจาก 2 ภาคแรกครับ โดย John Hughes ได้ร่างบทคร่าวๆ เอาไว้แล้วด้วย แต่แล้ว Macaulay Culkin เจ้าของบทเควินตัดสินใจไม่กลับมาเพราะเขารู้สึกพอกับบทนี้แล้ว ไหนจะปัญหาส่วนตัวในครอบครัวอีก เขาเลยโบกมืออำลาจากบทนี้ไป
ทีนี้ Hughes เลยต้องเดินแผน 2 โดยการเปลี่ยนตัวเอกเป็น ฟูลเลอร์ ตัวละครลูกพี่ลูกน้องของเควินที่เคยปรากฏตัวใน 2 ภาคแรก ซึ่งแสดงโดย Kieran Culkin น้องแท้ๆ ของ Macaulay Culkin แล้วก็เขียนเรื่องให้ 2 โจรแสบแฮร์รี่กับมาร์ฟ (Joe Pesci และ Daniel Stern) กลับมาอีกครั้ง โดยพุ่งเป้าจะยกเค้าบ้านของฟูลเลอร์ตอนที่พ่อแม่ไม่อยู่ แล้วฟูลเลอร์ก็ต้องมาหาทางปกป้องบ้านตามสูตร
แต่โปรเจคท์นี้ก็ต้องล่มอีก เพราะ Pesci และ Stern บอกปัดการมารับบท 2 โจรเจ้าเก่า อีกทั้ง Kieran Culkin ก็บอกปัดเช่นกัน (ว่ากันว่าเพราะเขาเกรงว่าตัวเองจะไม่สามารถวัดรอยเท้าพี่ชายได้) แต่ Hughes ก็ยังพยายามครับ พยายามที่จะทำภาคแยกโดยคราวนี้จะเปลี่ยนไปจับเรื่องของตัวละครโจรอย่างมาร์ฟแทน และหนังเรื่องที่เกือบจะได้เป็นภาคแยกก็คือ Bushwhacked แต่สุดท้ายพออะไรๆ ไม่ลงตัว ความคิดที่จะทำภาคแยกก็เลยถูกยุบไป แล้วหนัง Bushwhacked ที่ทำออกมาโดยมี Stern นำแสดงนั้นก็กลายเป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งไปเลย ไม่เกี่ยวอะไรทั้งสิ้นกับหนังชุด Home Alone
ยังครับ Hughes ยังเคยพยายามจะทำหนังภาคแยกที่มีตัวละครโจรอย่างแฮร์รี่มาเป็นตัวเอกด้วย แต่พอดีช่วงนั้น Pesci คิวทองครับ มีงานหนังในคิวหลายเรื่อง ไม่ว่าจะ Gone Fishin’, 8 Heads in a Duffel Bag และ Lethal Weapon 4 จนไม่สามารถปลีกตัวมาได้ ในที่สุด Hughes ก็ยอมยกธงในการทำภาคต่อแบบเชื่อมกับ 2 ภาคแรก แล้วก็ปั่นบทใหม่โดยสร้างตัวละครใหม่หมดทั้งดุ้น
ผลที่ได้ก็เลยกลายมาเป็น Home Alone ภาคนี้ที่เปลี่ยนตัวเอกมาเป็นอเล็กซ์ พรูอิตต์ (Alex D. Linz) หนูน้อย 8 ขวบที่เป็นอีสุกอีใสเลยต้องนอนพักอยู่บ้าน แต่ก็พอดีครับที่มีกลุ่มผู้ร้าย 4 คนนำโดยมิสเตอร์โบรเพร (Olek Krupa) กำลังตามหารถเด็กเล่นคันหนึ่งที่พวกเขาได้ซ่อนชิปไฮเทคมูลค่ามหาศาลเอาไว้ แต่ดันมีการหยิบถุงผิด รถเด็กเล่นที่ว่าเลยมาตกอยู่ในมือของอเล็กซ์แทน
แล้วหนังก็เข้าสูตรครับ อเล็กซ์ก็ต้องมาปกป้องบ้านตัวเอง โดยการวางกับดักสารพัดซัดกับ 4 ผู้ร้าย ส่วนตอนจบจะเป็นยังไงก็คงเดากันได้น่ะนะครับ
ภาคนี้ก็คือการเอาสูตรจาก 2 ภาคก่อนมาปรุงใหม่อีกรอบ จริงๆ ก็ถือเป็นการรีเมคน่ะครับ ถ้าถามว่าสนุกไหม ก็คงต้องบอกว่าความอร่อยและกลมกล่อมยังสู้ 2 ภาคแรกไม่ได้ รวมถึงความอบอุ่นกินใจแม้จะมีแต่ก็ไม่มาก ส่วนหนึ่งอาจเพราะหนังภาคนี้เหตุไม่ได้เกิดในช่วงคริสต์มาส (เท่าที่ดูจากเส้นเรื่อง เหตุมันเกิดตอนต้นเดือนมกราคมครับ)
โดยรวมถือว่าหนังพอดูได้แบบเรื่อยๆ ครับ แต่ก็ไม่ได้เด่นหรือชวนติดตามอะไร ถ้าจะมีอะไรที่ติดใจหน่อยก็คงเป็นดนตรีของ Nick Glennie-Smith ที่ทำออกมาได้เร้าใจพอตัว จนบอกได้เลยว่าถ้าหนังขาดดนตรีของเขาไปนี่ บางช่วงรสจะชืดลงพอตัวเลยล่ะครับ
ผู้กำกับภาคนี้เปลี่ยนมาเป็น Raja Gosnell มือตัดต่อจาก 2 ภาคแรกที่มากำกับหนนี้เป็นครั้งแรก ซึ่งถ้าดูจากการเล่าเรื่องแล้วก็ถือว่าเล่าแบบง่ายๆ ไม่เน้นท่ายากหรือไม่ใส่ลูกเล่นอะไรนัก จริงๆ ตอนแรก Hughes ก็อยากให้ Chris Columbus กลับมากำกับอีกสักรอบเหมือนกันครับ แต่ Columbus ก็บอกปัดไป แล้วก็เป็นคนเสนอให้ Gosnell มาทำแทน – ผลที่ได้ก็ถือว่ากลางๆ ครับ คือไม่ได้แย่ แต่ก็ยังดีได้อีกพอสมควร
นักแสดงก็ถือว่ากลางๆ อีกเช่นกัน แต่ละคนจริงๆ ก็แสดงได้ตามบทนั่นแหละครับ เพียงแต่สีสันหรือความน่าจดจำยังไม่มาก อย่างไรก็ดีท่านจะได้พบเจอกับ Scarlett Johansson สมัยยังละอ่อนด้วยครับ เธอมาแสดงเป็นมอลลี่ พี่สาวของอเล็กซ์
เกร็ดเล็กๆ ที่อยากนำมาบอกก็คือ Rowan Atkinson ได้รับการทาบทามให้มาเล่นเป็นมิสเตอร์โบรเพรด้วยครับ แต่เขาก็บอกปัดไปเพราะคิวชนกับ Bean: Ultimate Disaster Movie หรือมิสเตอร์บีนฉบับหนังใหญ่พอดี และจริงๆ แล้วเขาก็เคยลองมาเคสบทแฮร์รี่ หนึ่งใน 2 โจรตอนภาคแรกด้วย แต่ในที่สุด Pesci ก็ได้บทไปแทน
ในแง่รายได้แล้ว หนังก็ไม่ขาดทุนนะครับ ลงทุนราวๆ $32 ล้าน ได้คืนมา $79 ล้านจากทั่วโลก ก็ถือว่าพอได้ เพียงแต่ถ้าเทียบกับตัวเลข 2 ภาคแรกที่ได้ระดับสามร้อยสี่ร้อยล้าน ก็คงต้องบอกว่าห่างกันหลายช่วงตัว และนี่ก็กลายเป็น Home Alone ภาคสุดท้ายที่ได้ฉายในโรง
สรุปว่าธรรมดาครับ แต่หนูน้อย Alex น่ารักดี
สองดาวครับ

(6/10)
หมวดหมู่:Comedy, Crime, Family, Movie Reviews










